หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔.๕ การข้ามเวลา

๔.๕ การข้ามเวลา

แม้ว่าเส้นทางเวลาจะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่มนุษย์มีกำลังสติที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางของเวลาได้ เปรียบเสมือนแม่น้ำที่แยกออกเป็น 2 สาย ปลาสิทธิจะเลือกว่านไปทางใดทางหนึ่ง แต่ทั้ง 2 เส้นทาง มันก็ไม่รู้ว่าต้องพบกับอะไรในอนาคตบ้าง และถ้าเลือกทางหนึ่งมันจะไม่รู้เลยว่าอีกเส้นทางเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับมนุษย์เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือกแต่งงานระหว่างแฟน 2 คน
ทั้ง 2 เส้นทางชีวิตนี้ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องเจอกับอะไรบ้าง และถ้าเลือกแต่งกับคนหนึ่ง อีกเส้นทางหนึ่งก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นอย่างไร และคาดหมายไม่ได้ด้วย ทฤษฎีควอนตัมบอกไว้ว่า เราไม่มีทางรู้ จนกว่าจะเอาตัวเองเข้าไปวัด ความไม่แน่นอนมีอิทธิพลสูงจนมิอาจคาดการณ์ได้ สำหรับในทางวิทยาศาสตร์ การเดินทางข้ามเวลาไปในอนาคต ตามทฤษฎีแล้ว ทำได้ง่ายกว่าการเดินทางย้อนอดีต ดังนั้น ถ้าการข้ามเวลาทำได้จริง ควรเริ่มต้นด้วยการเดินทางไปอนาคต (แต่ปัญหาคือแล้วจะกลับมาปัจจุบันได้อย่างไร) การเดินทางไปในอนาคตสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพแต่การเดินทางย้อนอดีตดูเหมือนใช้ทฤษฎีควอนตัมอธิบายจะง่ายกว่าเพราะการเดินทางไปในอนาคตยังเป็นมิติเดิม เพียงแต่ข้ามเวลา แต่การเดินทางย้อนอดีต จะเป็นมิติซ้อนมิติ (เช่น มีตัวเรา 2 คน คือคนที่ย้อนไปกับคนในอดีต) ซึ่งทฤษฎีควอนตัมสามารถอธิบายได้ ในเรื่องนี้ สตีเฟน ฮอร์กิ้ง ก็เห็นด้วยว่า การเดินทางข้ามเวลาไปในอนาคต มีโอกาสทำได้ สูงกว่าการเดินทางย้อนอดีต ปัญหาก็คือ ถ้าเราข้ามไปอยู่ในโลกอนาคตแล้ว เราอาจจะย้อนกลับมาที่เวลาเดิมไม่ได้อีก ตัวตนเราจะหายไปจากโลกปัจจุบัน และไปใช้ชีวิตในโลกอนาคตแทนคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ สมมติเราสามารถนั่งยานข้ามเวลาโผล่พรวดไปในปี พ.ศ. 2600 แต่กลับมาเวลาเดิมไม่ได้อีก ไปแล้วไปลับ คงไม่มีใครอยากไป พระพุทธองค์ก็ทรงรู้ว่าปรินิพพานในวันไหน แต่เมื่อไม่ให้เกิดการตระหนก  พระองค์ทรงเลือกที่จะบอกก่อนเพียง 3 เดือนแก่พระอานนท์
ว่า "อานนท์อีก 3 เดือนเราตถาคตจักปรินิพพาน"แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้ล่วงหน้าได้เช่นกัน พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลวงตามหาหัว ญาณสัมปันโน ว่า "อายุ 80 ปี จะนิพพาน"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า "78 ปี อายุจะต้องสิ้นสุด" เหตุที่การย้อนอดีตทำยากกว่า เพราะว่าขัดกับกฎของเทอร์โมไดนามิกในทางวิทยาศาสตร์เหมือนการไปทำให้จักรวาลหดตัวกลับ  และผิดหลักอนิจจังในทางพระพุทธศาสนา ที่ว่า สรรพสิ่งจะต้องตกอยู่ในสภาวะเสื่อมลงอยู่เสมอ ดังนั้น การจะย้อนเวลาให้ลดจากอายุ 60 เป็น 40 เป็นไปไม่ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าการย้อนเวลาทำได้จริง จิตจะเป็นเพียงผู้ดู แต่มิอาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงอดีตนั้นได้เลย กาลเวลาที่ผ่านไปนั้นไม่ได้สูญหายไปไหนมันจะถูกเก็บไว้เหมือนระบบอย่างหนึ่ง สักวันเราคงจะสามารถเข้าถึงระบบเหล่านี้ได้ และทฤษฎีที่จะทำให้เกิดขึ้นน่าจะเป็นทฤษฎีควอนตัม โดยเฉพาะเรื่องหลักการพัวพันทาง        ควอนตัม ที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยความไวมากกว่าแสง
ถ้าต้องการย้อนเวลาเพียงการเป็นผู้ดู เชื่อว่าเทคโนโลยีในอนาคตสามารถทำได้อย่างแน่นอน มันก็เหมือนกับการเล่นวิดีโอย้อนกลับ เพียงแต่ภาพเป็น 3 มิติ และตัวเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เช่น ยืนอยู่ข้างๆ มองเห็นตัวเองกำลังนั่งทานข้าวเมื่อ 3 วันที่แล้ว แต่เป็นเพียงการเห็น ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้ แต่อย่างไรก็ตาม การย้อนเวลาเช่นนี้จะมีประโยชน์อย่างมาก ในการสืบสวนความผิด จับโกหกผู้ร้าย วิเคราะห์อุบัติเหตุ ถ้าเทคโนโลยีเกิดขี้นจริง ในอนาคตตำรวจกับศาลคงทำงานง่ายขึ้นมาก ตามทฤษฎีไร้ระเบียบได้เปรียบเปรยไว้ว่า แม้ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ฮ่องกง ก็สามารถเป็นต้นเหตุให้เกิดพายุทอร์นาโดขึ้นที่นิวยอร์กในอีก 1 เดือนต่อมาได้ 
สรรพสิ่งในโลกล้วนสัมพันธ์กัน ดังนั้น การที่มนุษย์คนหนึ่งได้เกิดขึ้นมาบนโลก ย่อมจะส่งผลกระทบไปในวงกว้างยิ่งกว่าผล กระทบปีกผีเสื้อ (butterfly effect) เพราะมนุษย์สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าผีเสื้อเป็นล้านเท่าการย้อนอดีตก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเทคโนโลยีย้อนเวลาสามารถทำได้จริง
มนุษย์คนที่ย้อนเวลาไปในอดีต จะต้องทำให้ประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นธรรมชาติจึงทำให้การย้อนเวลาเป็นของต้องห้ามสำหรับคนที่จิตไม่บริสุทธิ์ ยังเจือปนไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน (ตัวกู ของกู) การย้อนเวลา จะสามารถทำได้เฉพาะผู้ที่ฝึกจิตจนถึงระดับที่สามารถละกิเลสทั้งหมดได้เท่านั้น ญาณหยั่งรู้อดีต จะลึกชึ้ง ละเอียดกว่าการย้อนเวลา เพราะจะรู้ไปถึงอดีตชาติเลยทีเดียว ก็คือรู้กรรมในอดีตทั้งหมด รวมไปถึงปฎิสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย เมื่อบรรลุญาณจะรู้ว่า เหตุการณ์ในแต่ละชาติไม่จำเป็นต้องเป็นผลมาจากชาติที่แล้ว
อาจจะเป็นชาติก่อนหน้านั้นหลายๆ ชาติก็ได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุมาจากวันนี้ อาจเป็นเมื่อวานซืน หรือสิบวันร้อยวันที่แล้วก็ได้ ดังนั้นกรรมเก่าที่รอตามเอาคืนมากมายมหาศาลเหลือเกิน เมื่อรู้เช่นนี้ จึงต้องการหลุดพ้นจากวังวนแห่งสังสารวัฎ พระพุทธองค์ทรงพบว่า ใน 31 ภพภูมิเวลาเดินเร็วช้าไม่เท่ากันยิ่งภพภูมิสูเวลายิ่งเดินช้าลง ดังนั้น บนสวรรค์ชั้นสุดของอรูปพรหม (ชั้น 31 ) เวลาเดินช้ามากๆ แต่อย่างไรก็ตาม ชั้นนี้ยังไม่ใช่พิพพานเพราะยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวลาอยู่ มีเกิด มีดับ มีอนิจจัง ทุกขัง เพียงแต่นามมากเท่านั้นเอง ในภพของเทวดาแต่ละชั้นเวลาก็ไม่เท่ากัน เช่น สวรรค์ 4 ชั้นแรกที่มนุษย์ทั่วไปมีโอกาสจะไปเกิดมากที่สุด คือชั้นจาตุมมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นมายา และชั้นดุสิต พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 50 ปีมนุษย์ เป็นคือหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นจาตุมมหาราช 100 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ 200 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นมายา 400 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดุสิต พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าเวลายืดหดได้ ก่อนทฤษฎีสัมพัทธภาพถึงกว่า 2000 ปี

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔.๔ แสงกับเวลา

๔.๔ แสงกับเวลา

ถ้าแสงมีความเร็วช้าเหมือนเสียง จะทำให้อดีตกลายเป็นอนาคตได้ เช่น เราอยู่บนรถไฟตู้ที่ 2 ได้ยินเสียงคนยิงปืนขึ้นที่หัวขบวน และวินาทีต่อมาได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางท้ายขบวนอีกนัด เราจะบอกได้ทันทีเลยว่า คนที่หัวขบวนยิงปืนก่อน แต่ความจริงแล้ว คนที่ท้ายขบวนยิงก่อนเพียงแต่เสียงกว่าจะมาถึงหูเราต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า เลยมาถึงทีหลังเสียงปืนจากหัวขบวน เช่นเดียวกัน ถ้าแสงเดินทางได้เท่าเสียง สมมติว่าเรายืนบนหลังคารถไฟตู้ที่ 2 เราจะเห็นกับตาเลยว่า คนที่อยู่บนหลังคาหัวขบวนยิงปืนก่อนคนที่อยู่ท้ายขบวน (ทั้งๆ ที่ความจริงกลับกัน) ดังนั้น ถ้าเราส่องกล้องในคืนวันหนึ่ง แล้วเห็นดวงดาวระเบิดขึ้นพอดีบนท้องฟ้า เราจะบอกว่าดวงดาวนั้นระเบิดในเวลาที่ส่องกล้องไม่ได้ มันอาจจะระเบิดเมื่อพันปี หมื่นปีที่แล้ว
แต่แสงเพิ่งเดินทางมาถึงตาเรา ถ้าตอนนี้เราส่องกล้องดูที่พื้นผิวของดาวอังคาร ก็จะเห็นดาวอังคารเมื่อประมาน 4 นาทีก่อน
สรุปแล้วสิ่งที่เราเห็นเป็นอดีตทั้งหมด จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะห่าง แม้แต่การส่องกระจก กว่าแสงจะเดินทางไปที่กระจกแล้ว สะท้อนเข้าตาเราก็ต้องใช้เวลา ดังนั้น ภาพที่เห็นก็ไม่ใช่ปัจจุบันขณะนั้นแล้ว เหตุที่แสงต้องที่ความเร็วสูงมาก ก็เพื่อทำให้ทุกสิ่งที่เราเห็น อยู่ใกล้ปัจจุบันขณะที่สุด จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าแสงมีความเร็วเท่าเสียงคือ 350 เมตรต่อวินาที ผู้ชมบนอัฒจรรย์ในสนามกีฬาตามจุดต่างๆ จะเห็นนักวิ่งเข้าเส้นชัยไม่พร้อมกัน เวลาตัดสินคงจะวุ่นวายน่าดู ถ้าเราสามารถเดินทางเร็วกว่าแสง จะพ้นจากอิทธิพลของแสงในมิตินี้ทันที ในขณะที่ก่อนหน้านั้นแสงไปยืดเวลา จนทำให้เราเห็นแสงเร็วเท่าเดิมตลอด  เมื่อหลุดพ้นจากแสงจะเป็นอิสระจากกาลเวลา สภาวะนิพพานอยู่เหนืออิทธิพลของแสงและเวลา ดังนั้น เมื่อบรรลุนิพพาน จะสามารถหยั่งรู้ทุกมิติ ทุกภพภิมิ อยู่ในช่วงปัจจุบันขณะทั้งหมด 
เข้าใจทุกอย่าง ทะลุมิติที่แฝงอยู่ในจักรวาล รวมไปถึงบริเวณ
ที่แสงไปไม่ถึงด้วย และเนื่องจากทุกมิติ ทุกภพภูมิ ล้วนอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงและเวลา เมื่อสามารถกำหนดจิตจนอยู่ที่ปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง เท่ากับว่าเอาชนะแสงได้ ความลับของมิติ ภพภูมิอื่นๆ ที่แสงเก็บซ่อนไว้จากตาเนื้อ จะถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างแจ่มชัด เป็นการผุดรู้ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันขณะเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน ปลาที่อยู่ในตู้จะไม่รู้สึกว่า
กำลังถูกจองจำ เพราะตัวมันไม่สามารถแยยกออกมาจากน้ำได้ ถ้ามีปลาสักตัวสามารถออกมานอกตู้แล้วมองเข้าไป มันจะเข้าใจทันทีว่า เพื่อนๆ มันไม่ได้มีอิสระแต่อย่างใด เช่นเดียวกัน
มนุษย์ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกจองจำ จนกว่าจะมีใครหลุดพ้นจากอิทธิพลของแสงและเวลา แล้วมองกลับเข้าไปจึงจะรู้ว่า เหล่าสรรพสัคว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย น่าเวทนายิ่งนักและสภาวะที่สามารถพ้นจากวงจรนี้มีอยู่จริง ซึ่งพระองค์ก็ทรงค้นพบแล้ว

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔.๓ การย้อนกลับของเวลา

๔.๓  การย้อนกลับของเวลา

ถ้าคิดแบบ 2 มิติ เราจะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะออกเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ แล้วในที่สุดจะกลับมาอยู่ข้างหลังของตัวเราเอง
และ ถ้าคิดแบบ 3 มิติ เราก็จะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้จรวดพุ่งขึ้นฟ้าตรงไปในจักรวาล แล้วจรวดนั้นจะกลับมาที่โลกอีกครั้ง เช่นเดียวกันถ้าคิดแบบ 4 มิติ เราก็จะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เวลาซึ่งเดินไปข้างหน้าจะย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
สมัยที่มนุษย์ยังอยู่แบบ 2 มิติ ไม่มีใครเชื่อว่าโลกโค้งจนสามารถเดินทางย้อนกลับมาที่ตำแหน่งเดิมได้ จนเมื่อเข้าใจมิติที่  3 มนุษย์จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วมิติที่ 2 ที่เห็นโค้งถึง 360 องศา และเช่นกันถ้ามนุษย์ เข้าใจมิติที่ 4 ก็จะรู้ว่ามิติที่ 3 สามารโค้งและย้อนกลับมาได้ ยิ่งถ้าเข้าใจไปถึงมิติที่ 5 ก็จะรู้ว่าเวลาในมิติที่ 4 ก็สามารถโค้งกลับมาที่เดิมได้เช่นกัน เวลามีความยืดหยุ่นได้เหมือนยางยืด ดังนั้น ถ้าเราสามารถพับยางวงให้เป็นเลข 8 ได้ 
การย้อนหรือข้ามเวลาจะเกิดขึ้นได้ทันที ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการพับยางยืดแห่งเวลาก็คือแรงโน้มถ่วงนั่นเอง
อย่าคิดว่าเวลาเดินทางเป็นเส้นตรง ในเมื่ออวกาศยังโค้งได้
แล้วทำไมเวลาจะโค้งไม่ได้ พระพุทธศาสนาในยุคแรกจึงใช้สัญลักษณ์ล้อเกวียน ซึ่งหมายถึงกสนหมุนวนในช่วงเวลาแห่งสังสารวัฎ เวลา ความเร็ว ความเร่ง และปริมาตรล้วนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นจนไม่สามารถแยหออกจากกันได้ คุณสมบัตินี้ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้วด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ ปัจจุบันเราพบว่า ความเร็ว ความเร่ง และปริมาตร สามารถหายไปจนเหลือศูนย์ได้ คือไม่มีอยู่จริง ดังนั้น เวลาก็ต้องไม่มีอยู่จริด้วย ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งสมมติ เมื่อเสียชีวิต จิตเข้าใจความลับในเรื่องนี้ หรือบรรลุอรหันต์ขณะยังมีชีวิตอยู่ก็จะเข้าใจเช่นเดียวกัน ถ้าขนาดเวลายังหายไปได้ แล้วยังเชื่ออีกหรือว่า
สรรพสิ่งมีอยู่จริง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔ . ๒ ปัจจุบันขณะ

 ๔ . ๒  ปัจจุบันขณะ

นักฟิสิกส์ ยืนยันว่า โลกและจักรวาลไม่มีอยู่จริงจนกว่าเราจะไปเห็นมัน และการเห็นต้องใช้แสงเป็นตัวสะท้อน ดังนั้น แสงคือตัวกำหนดสิ่งที่เราเห็น ถ้าในอีกมิติหนึ่งแสงมีความเร็วน้อยกว่าโลกครึ่งหนึ่ง (150,000 กิโลเมตรต่อวินาที) ตามนุษย์จะไม่สามารถมองเห็นแสงที่สะท้อนจากมิตินั้นได้ และมวลในมิตินั้น
ที่สร้างจากสูตร E=mc2 แต่ C (ความเร็วแสง) คนละค่ากับบนโลก ทำให้มนุษย์มองไม่เห็นมวลของมิติอื่นเช่นกัน การเห็นของมนุษย์จึงเป็นเพียงภาพมายาและรูปมายาที่แสงในมิตินี้สร้างขึ้นมาเท่านั้น เมื่อเราเสียชีวิตจะพบว่า โลกและจักรวาลไม่มีอยู่จริง
เราถูกแสงหลอกมาตลอดชีวิต เวลาก็เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่กำหนดสติ จนไวถึงระดับขณะจิตซึ่งเป็นปัจจุบันขณะ จะเห็นความไม่ต่อเนื่องของเวลา เหมือนกับการเห็นความไม่ต่อเนื่องในฟิล์มภาพยนตร์ เราจะสามารถตัดต่อเอาฟิล์มส่วนหน้าไปไว้ส่วนท้ายได้ แต่สำหรับผู้ชมที่ไม่รู้ เห็นแต่ความต่อเนื่องไม่มี
สะดุดบนจอภาพยนตร์ สร้างสรรค์เรื่องราวเป็นอดีต อนาคต
ก็จะเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเรียงลำดับมาตามนั้น ข้ามไปมาไม่ได้
เหมือนกับในยุคสมัยอนาล็อก เราไม่สามารถตัดต่อได้ ม้วนวิดีโอก็จะเล่นตั้งแต่ต้นเรื่องไปท้ายเรื่อง แต่ปัจจุบันระบบดิจิตอลทำให้เรารู้ว่า แต่ละช่วงมีปัจจุบันขณะของมัน เราจะข้ามไปดูส่วนไหนก่อน หรือจะตัดส่วนที่ไม่ชอบออก ต่อเติม ตกแต่งภาพ ได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เราคิดว่ามันต่อเนื่อง เมื่อกำหนดสติไวขึ้น ละเอีอดขึ้นจะรู้ว่า ความรู้สึกทั้งหลายเกิดจากจิตขึ้นมารับอารมณ์ ซึ่งการเกิดดับของดวงจิตมีลักษณะไม่ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนไม่ต่อเนื่อง เช่นน้ำ ดูเหมือนจะเป็นเนื้อเดียวที่กลมกลืน แต่ความจริงแล้วมันก็แยกออกเป็นโมเลกุลเล็กๆ เต็มไปหมด แสงก็แยกเป็นเม็ดโฟตอน หลอดไฟที่เห็นส่องแสงเนียนเรียบ ความจริงแล้วมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาแต่เร็วมากจนตามองไม่ทัน ในแมลงบางชนิดจะเห็นภาพไวกว่ามนุษย์เป็น 10 เท่า มันจะเห็นการเคลื่อนไหวของมนุษย์เป็นภาพที่ช้อนกัน ไม่ต่อเนื่อง และช้ากว่าปกติดังนั้น เวลาเรายกมือขึ้นจะตบ มันจะเห็นภาพมือที่กำลังเคลื่อนเข้ามาเป็นภาพย่อยๆ ช้าๆ และบินหนีออกไปได้ทันที ความจริงแล้วขณะเดินจงกรม ถ้าฝึกสติให้ไวกว่าปกติสัก 10 เท่า ก็จะเห็นปรากฎการณ์นี้เช่นกัน เท้าที่เดินในแต่ละขณะ จะแยกออกเป็นภาพย่อยที่ไม่ต่อเนื่อง ปกติตาของมนุษย์จะมองภาพที่เกิดขึ้นมากกว่า 30 ภาพต่อวินาที เป็นภาพต่อเนื่อง เราใช้ความรู้นี้มาทำภาพยนตร์แอนิเมชั่น  ถ้าสติไวกว่าปกติจะเข้าใจว่า ความจริงแล้วมันไม่ต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔ .๑ มายาแห่งอดีต อนาคต

๔ .๑   มายาแห่งอดีต อนาคต

ถ้าปลาว่ายไหลตามกระแสน้ำปิงจากเชียงใหม่ มายังนครสวรรค์โดยที่ปลานั้นไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีนครสวรรค์บนโลกนี้ ดังนั้น ระหว่างอยู่ลำพูน มันจะคิดว่าเชียงใหม่เป็นอดีต (แต่มันยังไม่รู้อนาคต) ทีนี้ถ้าเกิดมีปลาตัวหนึ่งว่ายเร็วกว่ากระแสน้ำมาก นำหน้ามาถึงนครสวรรค์ก่อน แล้วว่ายทวนกระแสย้อนกลับไปหาปลาที่ลำพูน แล้วบอกว่า ในวันพรุ่งนี้จะต้องเจออะไรบ้าง ซึ่งปลาที่อยู่ลำพูนไม่เชื่อ แต่ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นได้พบเห็นสิ่งต่างๆ จริงตามที่ได้ยินมา มันก็คงจะคิดว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เช่นเดียวกัน มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในกระแสแสง ถ้าใครทำความเร็วสูงกว่าแสงได้ ก็จะเหมือนปลาที่ว่ายเร็วกว่ากระแสน้ำ ด้วยเหตุนี้ แสงจึงไม่ยอมให้ใครทำความเร็วสูงกว่าตัวมัน เพราะมิฉะนั้นความลับเรื่องอดีต อนาคต ไม่มีอยู่จริงจะถูกเปิดเผย
ถ้าเราขึ้นเครื่องบินมองตามลำน้ำปิงก็จะรู้ว่าทุกอย่างอยู่ในปัจจุบันขณะเดียวกัน เพียงแต่จักรวาลของปลาคือน้ำ เพราะปลาเอาตัวเข้าไปอยู่ในกระแสน้ำ มันจึงหลงคิดไปว่าสิ่งนี้คืออดีต สิ่งนี้คืออนาคต ตามแต่กระแสน้ำพาไป เพียงแต่โฟตอนของแสงเบาบางกว่าโมเลกุลของน้ำ และความเร็วสูงกว่ามาก นอกจากนั้นแสงยังทำให้เซลล์ของเราแก่ลงไปด้วย (ถ้าแสงหยุดเคลื่อนที่ เราก็จะหยุดแก่) ตอนอายุ 30 เราอาจจะบอกว่า 10 ขวบเป็นอดีต และ 40 เป็นอนาคต ความจริงแล้วกระแสแสงนั่นเองที่ทำให้เราแก่จาก 30 เป็น 50 แรงโน้มถ่วงทำให้สายธารแห่งน้ำไม่ไหลย้อนกลับฉันใด แสงก็ทำให้สายธารแห่งเวลาไม่ไหลย้อนกลับฉันนั้น เพราะแสงก็คือตัวกำหนดเวลานั่นเอง
ถ้าเทียบการไหลของเวลาเหมือนกับสายน้ำ การเเล่นเรือทวนน้ำเปรียบได้สมถกรรมฐาน (การมีสมาธิแนบแน่น) เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนมองไม่เห็นรายละเอีอดของสิ่งต่างๆ เช่น เวลาที่มีสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ส่วนการแล่นเรือตามน้ำ คือวิปัสสนา (การมีสติ) จะเห็นน้ำไหลช้าลง ทำให้เห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่อยู่ในกระแสน้ำ
และเมื่อเรือมีความเร็วเท่ากับกระแสน้ำ จะเห็นน้ำอยู่นิ่งนั่นก็คือเข้าสู่ปัจจุบันขณะอย่างแท้จริงคนที่ใจร้อนเวลาใจจะเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า ในขณะที่รายละเอียดลดลง 2 เท่ารวมแล้วเท่ากับว่าประสิทธิภาพตกลง 4 เท่า ดังนั้น การกระทำใดๆ ถ้าทำอย่างใจร้อนมักจะเสียหายหรือผิดพลาด อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ แต่อนาคตเราเลือกได้จากการตัดสินใจในปัจจุบัน ดังนั้นทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชมักพบว่าเกิดจากการไปยึดติดกับเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต หรือไม่ก็มักจะพะวงกับสิ่งที่ยังไม่เกิดในอนาคตจนทำให้เคลียด
และที่แปลกคือผู้ป่วยไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ไม่ยอมรับรู้ปัจจุบัน ดังนั้นการรักษาจะทำให้ยากมาก
บางทีนั่งคุยกันอยู่ดีๆก็ไปคร่ำครวญถึงอดีต นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นผู้ป่วยเหล่านี้จะคิดถึงอดีตวันละนับร้อยๆครั้งเหมือนย้อนจิตกลับไปรับกรรมนั้นอีก แม้จะมีไครเคยทำให้เจ็บ เหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ยังจะย้อนใจกลับไปทำให้มันเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมีอาการทางจิต ซึ่งในมุมมองของคนนอกจะรู้สึกว่าเป็นวิธีคิดที่ไม่ฉลาดเลย เพราะอนาคตสามารถเปลี่ยนได้จากปัจจุบันแท้ๆ แต่กลับไม่สนใจปัจจุบันเรารู้ว่าการจำไม่ได้จะสร้างความเสียหายให้กับชีวิต แต่การลืมไม่ได้อาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า ถ้าจิตแพทย์มีคาถา คงอยากจะเสกให้ผู้ป่วยทุกคนลืมอดีตให้หมด แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราจะอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตทำไม ในเมื่อปัจจุบันอยู่ในกำมือเรา
และสามารถแก้ไขได้ทันที และถ้าจิตยังไม่เปลี่ยน แม้ได้ย้อนกลับไปก็จะตัดสินใจแบบเดิม แล้วจะมีประโยชน์อะไร