หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ ๔ ความลับของเวลา

๔  ความลับของเวลา

เวลามองลูกโป่งไกลๆ บนท้องฟ้า เราจะเห็นลูกโป่งเป็นจุด เมื่อลอยเข้ามาใกล้ขึ้นจะเห็นเป็น 2 มิติและเมื่อขยายจนเห็นรายละเอีอดจะพบว่าลูกโป่งมี 3 มิติ และถ้าขยายลูกโป่งด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังสูงจะพบว่าลูกโป่งไม่มีอยู่จริง มีแต่อะตอมของธาตุต่างๆ มารวมกัน

เช่นเดียวกัน ในการมุมกว้าง จะเห็นเวลาเป็นเพียง 1 มิติ เช่น ช่วงเวลาของชีวิติมนุษย์เมื่อเทียบกับอายุของจักรวาล เป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองเข้ามาใกล้ขึ้น เวลาจะขยายเป็น 2 มิติ คือมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด ทำให้เห็นอนิจจัง การเกิด การตาย และถ้าขยายเวลาจนมองเห็นรายละเอีอดภายใน

จะเห็นเวลาเป็น 3 มิติ เริ่มเห็นทุกขัง การเจ็บ การแก่ และถ้ากำหนดเวลาให้ละเอีอดยิ่งขึ้นจนอยู่ที่ปัจจุบันขณะได้ จะเห็นเวลาเป็น 4 มิติ (เห็นอนัตตา) คือ อดีต อนาคตไม่มีอยู่จริง
ก่อนกำหนิดจักรวาล ยังไม่มีเวลา เวลาเริ่มนับตั้งแต่การเกิดบิ๊กแบงและขณะที่เกิดจักรวาลใหม่ๆ อุณหภูมิสูงมาก เวลาในช่วงเกิดบิ๊กแบงจะไม่เท่ากับปัจจุบัน ประมานว่า 1 นาทีในขณะนั้นเทียบเท่ากับ 10,000 ล้านปีในปัจจุบันเลยทีเดียว เมื่อจักรวาลขยายตัวออกไปเรื่อยๆ อุณหภูมิในระบบก็เริ่มลดลง ทำให้เวลาเดินช้าลง ในยุคของนิวตัน คิดว่าเวลาคือฟันเฟืองของนาฬิกาที่หมุนแล้วทำให้เกิดเวลา 1 วินาที แต่มายุคของไอน์สไตน์พบว่า
อะตอมทุกอะตอมของธาตุทุกธาตุ มีเวลาอยู่ในตัวของมันเอง
ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมากำหนดเวลาตามอะตอมของธาตุซีเซียม











วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ต่อจาก ๓.๒

 ต่อจาก ๓.๒ 

ไม่แน่ว่าทุกวันนี้ อาจมีผู้คนในอนาคตย้อนเวลากลับมาแล้วก็ได้แต่มองไม่เห็นเนื่องจากไม่มีมวล หลายต่อหลายครั้งที่จินตนาการในถาพยนตร์ เป็นจริงในเวลาต่อมา เช่น ยานอวกาศในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สเมื่อ 30 ปี ก่อนมีประตูอัตโนมัติและคอมพิวเตอร์ที่เหลือเชื่อในสมัยนั้น แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นจริงในยานอวกาศปัจจุบัน ตราบใดที่ยังมีมวล จะไม่สามารถข้ามเวลาได้ เนื่องจากมวลเป็นขีดจำกัดของความเร็วแสงมิตินี้
เพราะมันสร้างมาจากความเร็วแสงที่ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ตามค่า C ในสูตร E=me2 ดังนั้น การข้ามเวลาต้องใช้สิ่งที่ไม่มีมวล หรือถ้าจะต้องมีก็คงน้อยที่สุด เช่น อนุภาคโฟตอน อิเล็กตรอน นิวตริโน ไอน์สไตร์พบว่า พลังงานทุกชนิดเปลี่ยนเป็นมวลได้ เช่น ก้อนหิน มีมวล 1 กิโลกรัมเท่ากัน ก้อนที่ร้อนจะหนักมากกว่าเล็กน้อย หรือก้อนหินที่กำลังเคลื่อนที่ จะมีพลังงานจลน์ (E k) ซึ่งไปทำให้มวลเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นวัตถุที่วิ่งเร็วขึ้นๆ จะหนักมากขึ้น จนในที่สุดเมื่อเร็วเท่าแสง จะหนักเป็นอนันต์ นั่นก็หมายความว่า มันจะวิ่งเร็วกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะใส่พลังงานเข้าไปอีกเท่าใดก็ตาม เพราะตามสูตร F=ma ถ้า M เป็นอนันต์ ค่า F ก็ต้องเป็นอนันต์ด้วย ถึงจะเกิดความเร่ง (A) ขึ้นได้ อาจมีคนสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น ทำไมขอบจักรวาลถึงสามารถพองตัวได้เร็วกว่าความเร็วแสง นั่นก็เพราะการพองตัวของจักรวาล อยู่ในระดับที่สูงกว่ามิติที่  3 และแสงมีหน้าที่เพียงการคุมสสารและเวลาในมิติที่ 3 เท่านั้น หรือสรุปง่ายๆ ว่าแสงเป็นใหญ่เฉพาะในมิติของมันเท่านั้นถ้าเทียบกระแสแสงเป็นกระแสน้ำ ก็เหมือนกับน้ำไม่ยอมให้อนุภาคใดๆ ที่อยู่ในตัวมัน ทำความเร็วสูงกว่ากระแสน้ำ แต่การขยายขนาดแม่น้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนขนาดจักรวาล ด้วยความเร็วสูงกว่ากระแสน้ำ ก็ไม่เป็น เรื่องต้องห้าม
ถ้าเรามีไม้เมตรอยู่อันหนึ่ง ขณะที่คลื่นความโน้มถ่วงวิ่งผ่าน มันจะยืดหดไม้เมตรเป็นจังหวะ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พยายามจับคลื่นชนิดนี้ด้วยการทำท่อยาวถึง 4 กิโลเมตร   ที่มลรัฐหลุยเซียนา เมื่อมีคลื่นความโน้มถ่วงจากจักรวาลวิ่งผ่านโลก ท่อนี้จะมีความยาวเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันเราศึกษาจักรวาล โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นเครื่องมือ สมัยแรกๆ จะใช้แสงเป็นหลัก
เมื่อมาในยุคหลัง ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านความถี่อื่นส่องมองจักรวาล เช่น กล้องรังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา หรืออินฟราเรด พบว่า ภาพของจักรวาลแตกต่างจากที่มองเห็นด้วยแสงอย่างมากมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องความ
โน้มถ่วงส่องดูจักรวาลจะพบว่า เป็นคนละเรื่องกับที่เห็นด้วย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลย นอกจากนั้นจะส่องเห็นมิติอื่นๆด้วย เพราะหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่า แรงโน้มถ่วงเป็นแรงเพียงชนิดเดียวที่สามารถทะลุเข้าไปมิติอื่น  ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดจะอยู่ในกรอบของมิติเราเท่านั้นดังนั้น การถ่ายภาพเห็นผี เห็นปีศาจ จึงไม่ไช่ความจริง เพราะระบบการทำงานของกล้องจะเกี่ยวข้องกับแสง และแสงในมิตินี้ไม่สามารถสะท้อน
ไปยังมวลในมิติอื่นแล้วทำให้เกิดรูปขึ้นบนกล้องได้
แสงสามารถหลอกเราได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าเรายืนห่างจากกระจก 2 เมตร จะเห็นตัวเราอยู่ลึกเข้าไปในกระจก 2 เมตรด้วย
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะกระจกหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร เช่นเดียว
กับส่องกล้องดูจักรวาล  แสงที่มาอาจโค้งจากขอบจักรวาลอีกด้านหนึ่ง วิ่งเข้าหากล้องเราก็ได้ เปรียบเสมือนการส่องเห็นเทพี

สันติภาพ จากยอดตึกใบหยกในประเทศไทย แต่ในความรู้สึก
ของเราดูเหมือนแสงจะวิ่งเป็นเส้นตรงเสมอ จึงเข้าใจผิดว่าวัตถุหรือดวงดาวอยู่ ณ ตำแหน่งที่ส่องเห็น ความจริงแล้วมันโค้งมาแต่ไกล

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

๓ .๒ การท่องจักรวาล

๓ .๒  การท่องจักรวาล

นักวิทยาศาสตร์พยายามจะคิดยานอวกาศสำหรับท่องไปในจักรวาล โดยใช้เชื้อเพลิงที่มีอยู่บนโลก การท่องมิติที่ 4 ไม่สามารถใช้เชื้อเพลิงของมิติที่ 3 ได้ ดังนั้น ถ้ายังพัฒนาจรวดอย่างไรก็ไม่สามารถทะลุมิติ 4 ได้ การเดินทางด้วยอวกาศแบบนั้น ไแได้ไกลที่สุดก็แค่ดาวพลูโต
เปรียบดังเช่นมนุษย์ในยุค 2 มิติ ที่ใช้การพายเรือในการเคลื่อนที่ พลังงานจากการพายไม่สามารถท่องไปรอบโลกที่เป็นมิติ 3 ได้ แต่นักเดินเรือในยุคนั้นได้สร้างเรือสำเภาขึ้นมา 
ซึ่งใบเรือสามารถใช้แรงจากมิติที่ 3 (ความบิดเบี้ยวของอากาศ) ทำให้สามารถเดินเรือรอบโลกจนรู้ว่าโลกกลม เช่นเดียวกัน การจะท่องจักรวาลต้องใช้ความบิดเบี้ยวของอวกาศให้เป็นประโยชน์ ยานที่สร้างด้วหลักการนี้จะทะลุไปในมิติที่ 4 ได้
มนุษย์ในยุค 2 มิติไม่เข้าใจเรื่องผิวโลกโค้งฉันใด มนุษย์ในยุค  มิติก็ไม่เข้าใจเรื่องจักรวาลโค้งฉันนั้น ถ้าเข้าถึงมิติที่ 4 จะรู้ว่าจักรวาลโค้งเป็นอย่างไร และเรื่องเข้าสู่มิติที่ 5 จะเข้าใจความโค้งของกาลเวลา
หลังจากที่มนุษย์ใช้เรือสำเภามานับร้อยปี เมื่อเซอร์ไอแซค นิวตันคิดกฎของแรงได้
เข้าใจเรื่องความดันอากาศ ความดันน้ำ ทำให้สามารถคิดเรือที่ไม่ต้องใช้ความบิดเบี้ยวของอากาศในการเคลื่อนที่อีกต่อไป และยังสร้างเครื่องบินได้ด้วยเมื่อเข้าใจความบิดเบี้ยวของอากาศว่า อากาศที่บิดเบี้ยวน้อยกว่า (ใต้ปีก) จะมีความดันสูงกว่าเหนือปีก ทำให้ยกตัวเครื่องบินขึ้นได้ ก้าวแรกของมนุษย์ชาติในการบุกเบิกจักรวาล จะต้องเริ่มต้นจากการใช้ความบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศ เป็นเครื่องมือเสียก่อน หลังจากนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์อภิมหาอัจฉริยะแบบนิวตัน หรือไอน์สไตน์เกิดมาอีกครั้ง ก็จะต่อยอดสร้างยานอวกาศที่เทคโนโลยีสูงขึ้น เหมือนกับปัจจุบันที่เรามีเรือต่างๆ ที่ดีเยี่ยมกว่าเรือสำดภามากมาย
เราไม่มีทางเอาชนะแสงได้ แต่ดูเหมือนว่ามีทางที่จะเอาชนะแรงโน้มถ่วงได้ และแสงพ่ายแพ้
ต่อแรงโน้มถ่วง ดังนั้น ถ้าเราชนะแรงโน้มถ่วง นั่นหมายความว่า เราเอาชนะแสงได้ทางอ้อมนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นตามทฤษฎีพบว่า แรงโน้มถ่วงสามารถทะลุมิติได้ แต่แสงทะลุมิติไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเข้าใจความโน้มถ่วงมากพอ จะทำให้เข้าใจถึงเรื่องการทะลุไปมิติอื่นตามมา
เช่นเดียวกับเรือ การจะเดินทางไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ต้องรู็จักใช้คลื่น
ให้เป็นประโยชน์และต้องระวังคลื่นใหญ่ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อเรือได้ ยานอวกาศที่จะเดินทางไปในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ก็ต้องรู้จักการใช้คลื่นความโน้มถ่วงลูกใหญ่ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่นที่เกิดจากหลุมดำ ถ้าเทียบกับเรือ ก็คือแอ่งน้ำวนนั้นเอง นอกจากนั้น ตัวเรือเอาขณะที่วิ่งไปก็จะทำให้เกิดคลื่นด้วย เช่นเดียวกับยานอวกาศขณะที่เคลื่อนที่จะทำให้เกิดคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งต้องนำมาคำนวณด้วย แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ของโลกยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วง ดังนั้น คงอีกนานมากเลยทีเดียวกว่ามนุษย์จะสามารถเดินทางไปทั่วดาราจักร แต่ก็มั่นใจได้ว่าในอนาคต ถ้ามนุษย์ไม่ทำสงครามกันเองจนเทคโนโลยีถดถอยเสียก่อน การจะสร้างยานท่องไปในห้วงแห่งกาลอวกาศ สามารถทำได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น มนุษย์จะเป็นอิสระต่อเวลาและระยะทาง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องวิเคราะห์ก็คือ ร่างกายของมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถทนความเร่งจากแรงโน้มถ่วงที่มากกว่า 3G ได้ (3 เท่าของแรงโน้มถ่วงโลก) ดังนั้นถ้าประดิษฐ์ยานข้ามเวลา
 ข้ามระยะทางได้สำเร็จ มนุษย์อวกาศที่ขึ้นไปบนยานลำนั้น จะทนสภาพความโน้มถ่วง
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลได้หรือไม่ และถ้าท่องไปในจักรวาล ก็จะต้องพบกับระลอกคลื่น
เป็นระยะๆ เหมือนเรือที่ออกท่องมหาสมุทร จะต่างกันก็แต่คลื่นทะเลทำให้ศูนย์การทรงตัว
ของมนุษย์เสีย จึงเกิดอาการเมาคลื่น แต่คลื่นความโน้มถ่วงจะส่งผลไปถึงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ระบบเลือด ระบบประสาททั้งหมด ดังนั้น ต้องคำนึงถึงขีดจำกัดทางชีวภาพของมนุษย์ด้วย ยกเว้นจิต ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดนี้ เพราะจิตไม่มีเซลล์ ไม่มีมวลอาจเป็นไปได้ว่า
การข้ามมิติ ข้ามเวลาในอนาคตจะออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เรื่อง The Matrix หรือ inception ที่ใช้จิตและสติเดินทางไปแทน ดังนั้น ถ้าคิดจะกลับไปเปลี่ยนอดีคต้องใช้จิตเหนี่ยว
นำจิตเท่านั้น เราไม่สามารถเอาร่างกายไปทำอะไรมิตินั้นได้ เพราะกายไม่ได้ข้ามเวลาไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม คนที่จะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีกำลังสติที่สูงมาก เพราะการถอดจิตโดยเจตสิกที่เรียกว่า สติ ไม่ติดตามไปจะอันตรายมาก อาจถึงขนาดกลับเข้ามาในร่างเดิมไม่ได้อีก
ยังไม่จบนะครับ
ติดตามอ่านต่อได้ในบนที่ 2 นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

๓.๑ จักรวาล 11 มิติ

๓.๑ จักรวาล 11 มิติ

การกำหนดตำแหน่งในมิติที่ 4 ต้องบอกกาล-อวกาศด้วยถ้าไม่กำหนดกาล-อวกาศ เราจะไม่สามารถหากันเจอได้เลย ในระดับที่ 3 มิติเราสามารถกำหนดเพียงสถานที่และเวลาได้ เช่น นัดกับเพื่อนที่ลาน
น้ำพุชั้น 2 สยามพารากอน เวลาบ่ายโมง เท่านี้ก็หากันเจอแล้ว เพราะอยู่ในกาล-อวกาศ เดียวกัน
แต่ถ้าเราจะนัดเพื่อนบนดาวแพนโดราให้มาเจอกันบนดวงจันทร์เวลาบ่ายโมง
ด้วยมูลเพียงเท่านี้ไม่มีทางหากันเจอเพื่อนที่นัดกันไว้ได้ เพราะกาล-อวกาศทำให้เวลาและระยะทาง
ยืดหดได้ เช่นเดียวกับก๊าซที่ปริมาตรยืดหดได้ เวลาเราบอกปริมาตรก๊าซจึงต้องบอกอุณหภูมิและความดันควบคู่ไปด้วยเสมอ ถ้าเรานัดเพื่อนให้เอาก๊าซออกชิเจนมาคนละ 1 ลิตร แต่ไม่บอกอุณหภูมิและความดัน มั่นใจได้เลยว่า เพื่อนไม่มีทางเอาก๊าซมาได้ปริมาณตรงกับเราเลย
การกำหนดขนาดก๊าซขึ้นอยู่กับความร้อนและความดันฉันใดการกำหนดขนาดของระยะทางและเวลาก็ขึ้นกับความเร็วและความโน้มถ่วงฉันนั้น ในการขับรถบนโลก เราอาจนัดเพื่อนว่า ขับไปข้างหน้าถึง 100 กิโลเมตร หรือขับไปแล้ว 1 ชั่วโมง ให้หยุดรอกัน แต่สำหรับการขับยานอวกาศความเร็วสูง ระยะทางและเวลาจะยึดหดตามความเร็ว ดังนั้นถ้าจะนัดเพื่อนให้หยุดรอ ข้อมูลเพียงระยะทางหรือเวลาอย่างเดียว ใช้ไม่ได้ในระดับจักรวาล ต้องมีตัวเลขอีก 1 ตัวที่บ่งบอกถึงความบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศ อันเนื่องมาจากมวลของยาน ความเร่ง ความเร็ว อุณหภูมิ และความโน้มถ่วงด้วย
เรารู้มานานแล้วว่า ขนาดลูกฟตุบอลขึ้นกับความดัน แต่ไอน์สไตร์บอกว่า ขนาดลูกฟตุบอลขึ้นกับความเร็วด้วย นั่นก็คือถ้าลูกฟตุบอลลูกนั้นพุ่งด้วยความเร็วสูงมากๆ มันจะมีขนาดที่เล็กลง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกว่าระยะทางยืดหดได้เหมือนยางยืด นั่นก็คือยิ่งเร็วยางยืดก็จะหดสั้นลง และถ้าเร็วเท่าแสงยางยืดนี้จะหายไปทันที ซึงในครั้งแรกที่ไอน์สไตน์เสนอทฤษฎีนี้ มีแต่คนบอกว่า เขาสติฟั่นเฟือนไปแล้ว เมื่อมาถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จึงศรัทธาไอน์สไตน์ราวกับพระเจ้า ในตอนแรกคิดว่านิวตันเข้าใจพระเจ้าที่สุดแล้ว แต่ไอน์สไตน์ที่รู้สึกถึงความลับของพระเจ้ามากกว่านิวตัน
ชนิดที่เรียกว่าเป็นภาพยนตร์คนละเรื่องเลย 
ดั้งนั้น สภาวะนิพพาน หรือบรรลุอรหันต์มีอยู่จริง แต่การจะอธิบายสภาวะนั้นให้ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงสามารถเข้าใจ ทำไม่ได้เลย ต้องหยั่งรู้ด้วยภาวนาปัญาญาณเท่านั้น และพระพุทธองค์ทรงสอนว่า อย่าพยายามคิด เพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านจนถึงขนาดเสียสติได้ การคิดก็คือการพูคภายในสมอง ภาษา หลักตรรกะหรือการคำนวณทางคณิตศาสตร์เป็นเพียงสมมติบัญญัติ ไม่สามารถนำมาอธิบายความจริงแท้ ดังนั้นสภาวะนี้
คนรู้จริงจะไม่พูด เพราะรู้ว่าถึงพูดไปก็อธิบายให้เข้าใจไม่ได้ส่วนคนที่พูด ไม่รู้จริง
กายเนื้อของเรา ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่จะรับผัสสะต่างๆ ที่เป็นเนื้อๆ เหมือนกันในมิติที่ 3 ส่วนผัสสะที่ละเอียดลึกกว่านั้น เครื่องมือนี้ไม่อาจจะรับได้ นอกนอกจิต จิต คนที่เห็นจิตโดยแท้จริงเท่านั้น จึงจะรู้ถึง
สิ่งที่จิตสัมผัสได้ นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทางทวาร 6 ได้ จะหลุดพ้นจากมิติที่ 3 
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ล้วนเป็นประสาทสัมผัสที่ตกอยู้ภายใต้อิทธิพลของเวลา ดังนั้น การจะเข้าใจมิติที่สูงกว่ามิติที่ 4 จะต้องใช้อายตนะที่ 6 คือใจหรือจิต ในการศึกษาจะทำให้เข้าใจเรื่องมิติที่ 5 หรือสูงกว่านั้นได้ จิตเท่านั้นที่สามารถรับภาพจากมิติอื่นได้

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ ๓ มิติ

๓ มิติ

มนุษย์ในสมัยนั้นที่ยังเชื่อว่าโลกแบน กำหนดให้โลกฝั่งเอเชีย
ซึ่งเห็นดวงอาทิตย์ยามเช้าก่อน เป็นโลกตะวันออก และฝั่งยุโรปซึ่งเห็นดวงอาทิตย์ทีหลังเป็นโลกตะวันตก และกลายเป็นคำเรียกอย่างถาวรมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะรู้ว่าความจริงแล้ว จะกำหนดให้ฝั่งอเมริกาเป็นโลกตะวันออก แล้วฝั่งเอเชียเป็นโลกตะวันตกก็ได้ เพราะโลกเป็นทรงกลมและหมุนอยู่ตลอดเวลา

ความเข้าใจในมิติทำให้มุมมองที่มีต่อโลกและจักรวาลเปลี่ยนไป สิ่งที่อยู่ในมิติที่ 2 
จะไม่สามารถเห็นมิติที่ 3 ได้ มดที่เดินอยู่ด้านบนของแผ่นกระดาษ กับด้านล่างของแผ่นกระดาษ
มันจะไม่รู็ว่ามี 2 มิติคู่ขนานกันอยู่ มนุษย์ที่กำลังอยู่ในโลก 3 มิติ ก็จะไม่รู็ว่า ขณะนี้มี 3 มิติอื่นที่กำลังคู่ขนานไปกับมิติของเราอยู่ นอกจากจะมีมิติที่ 3 คู่ขนานแล้ว ยังมีสิ่งที่มีจิตวิญาญาณอาศัยอยู่ในมิติที่สูงกว่าเราอีกมากมาย ซึ่งแบ่งออกเป็น ชั้นเทวดา 6ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น
และอรูปพรหม 4ชั้น สิ่งที่มีชีวิตในบางชั้นก็อยู่ซ้อนทับกันระหว่างมิติ เช่น มนุษย์กับเดรัจฉานอยู่ร่วมกันในมิติที่ 2 และ 3 เทวดาอยู่ร่วมกันในมิติที่ 4 และ 5 เพียงแต่สวรรค์ชั้นที่สูงกว่าจะเข้าถึง
มิติที่ 5 ได้มากกว่า เช่นเดียวกับมนุษย์ที่เข้าถึงและเข้าใจมิติที่ 3 ได้มากกว่าเดรัจฉาน ชั้นรูปพรหมอยู่ในมิติที่ 6 และ 7 ส่วนชั้นอรูปพรหม ขึ้นไปถึงมิติที่ 8 และ 9 มิติที่สู
งกว่าจะมองเห็นมิติที่ต่ำกว่า เช่น มนุษย์มองเห็นมิติของมดซ้อนทับกัน การที่จะเห็นมิติที่ 3 ซ้อนทับก็ต้องมองลงมาจากมิติที่ 4 และจินตนาการทำได้ยากมาก เช่นเราชื้อเต๊นท์ที่ซึ่งพับแบบ 2 มิติมาเราจะไม่มีทางจินตนาการออกเลยว่า เต๊นท์นั้นถ้ากางออกมาเป็น 3 มิติจะมีรูปร่างเช่นไร
เช่นเดียว กับที่ปัจจุบันเราจินตนาการโครงสร้างของจักรวาลแบบ 4 มิติ ไม่ออกมองไม่ออกว่า
ถ้าคลี่จักรวาลแบบ 3 มิติ ออกมาจะมีรูปร่างเป็นแบบใดในมิติที่ 4 แต่ที่แน่ๆ คือ เรารู้ว่ามิติที่ 4 เวลาไม่มีอยู่จริง แลระยะทางใกล้ ไกล ไม่มีอยู่จริง ตามที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพได้พิสูจน์ไว้
ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า เวลาเกิดจากจิตที่เกิดดับเป็นสายใครที่สามารถกำหนดสติจนเข้าสู่ชั่วเวลาขณะจิตได้ จะพบกับความลับในเรื่องนี้ และรู้ว่าเหตุกาณ์ต่างๆ ในโลก 3 มิติก็เหมือนกับภาพนิ่งที่เรียงซ้อนต่อๆกันแล้วมีจิตขึ้นมารับอารมณ์ จิตที่เกิดดับเป็นสายอย่างต่อเนื่องต่อให้หลงเข้าใจผิดไปว่ามีเวลา เกิดอดีตอนาคต




วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

๒.๑ จิตกับควอนตัม

๒.๑ จิตกับควอนตัม

ฟิสิกส์ควอนตัม ศึกษาแยกย่อยอนุภาคเล็กลงไปเรื่อยๆ จนพบองค์ประกอบที่สำคัญ

เช่นเดียวกับอภิธรรมก็คือควอนตัมทางจิตพระพุทธองค์ทรงแยกย่อยมนุษย์
ลงไปในระดับดวงจิต เจตสิก และพลังที่เหนี่ยวนำทั้งหมดในระดับจิต ซึ่งเกิดดับอย่างระเอียด
ในระดับล้านๆ ของวินาที จะต่างกันก็แต่ควอนตันใช้กล้องจุลทรรศน์ขยาย แต่ พระพุทธองค์ใช้
กำลังสติขยาย โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) อาจาย์ของสตีเฟน ฮอร์กิ้ง
กล่าวว่า  จิตวิญญาณมีความสัมพันธ์กับควอนตัม และอาจช่วยอธิบายเรื่องชาติภพก็ได้
เมื่อคนตายไป ก็ยังมีจิตวิญญาณเชิงควอนตัมที่ยังคงอยู่ และถ่ายทอดไปในภพหน้าต่อไป
ในเรื่องนี้ วูลฟ์แก๊ง เพาลี (Wolfgang Pauli) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้ยิ่งใหญ่ ได้ทำการศึกษา
หาความสัมพันธ์ระหว่างปรากฎการณ์ควอนตันกับปรากฏการณ์ทางจิต โดยร่วมกับคาร์ล
จุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชั้นนำของโลก สร้างทฤษฎีจิตควอนตัม เพาลี-จุง (Pauli Jung) ซึ่งบอกว่า จิตเป็นตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์ทางธรรมชาติทั้งปวง
นีลส์ บอห์ร ได้บอกไว้อย่างมั่นใจว่า ปรากฎการณ์ทั้งหมดทางธรรมชาติ เกิดมาจากจิตมนุษย์ไปรับรู้หรือสัมผัสมันเข้าเท่านั้น เขามั่นใจขัดแย้งกับไอน์ไตน์ อย่างรุนแรง ซึ่งไอน์สไตน์ ตอนแรกก็ไม่เชื่อเช่นนั้น  นักฟิสิกส์สายใหม่สายควอนตันเกือบทุกคนจะสนใจศึกษาในเรื่องจิต ไบร โจเซฟสัน (Brian Josephson) นักฟิสิกส์ รางวัลโนเบล ได้กล่าวว่า ถ้านักวิทยาศาสตร์เห็นว่า
เรื่องของจิตไม่มีอยู่จริง กลศาสตร์ควอนตัมจะเข้ามาช่วยอธิบาย ปรากฎการณ์ทางจิตในระดับอภิญญา เช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็น สมาธิผ่องแผ้ว...ย่อมโน้มน้อมจิตเพื่อแสดงฤทธิ์ คือ แยกคนเดียวเป็นหลายคนได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา ทะลุกำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงดินเหมือนในน้ำได้ เดินบนน้ำ เหาะไปในอากาศก็ได้ ปันจุบันนักฟิสิกส์ควอนตัมรู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง
ในทางพุทธศาสนา บอกว่าข้อมูลทั้งหมดของชาติก่อน จะเก็บอยู่ในส่วนของนามขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และ การระลึกชาติได้ คือ การกำหนดสตเข้าไปดูรายละเอียดในนามขันธ์เหล่านี้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ...ย่อมตามระลึกชาติถึงอุปาทานขันธ์ ทั้ง 5 หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ...คือ ย่อมตามระลึกถึง รูป.....เวทนา....สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ดังนี้ว่าในอดีตกาลเราเป็นผู้มี รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างนี้