หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บนที่ ๕ ความไร้ระเบียบ

บนที่ ๕ ความไร้ระเบียบ

จักรวาลเริ่มต้นจากความไร้ระเบียบสุดๆ การระเบิดครั้งใหญ่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกระจัดกระจายออกจากกัน โชคดีที่จักรวาลมีแรงโน้มถ่วง
ซึ่งไปทำให้โปรตอนอัดรวมกันเป็นธาตุต่างๆ และเมื่อปริมาณมากขึ้น ก็กลายเป็นดวงดาวขนาดใหญ่ เนื่องจากโปรตอนมีประจุบวก ซึ่งจะผลักกันเอง การรวมตัวของโปรตอน จึงจะต้องอาศัยแรงโน้มถ่วงจำนวนมหาศาลเข้ามาช่วยอัดด้วยการที่โปรตอนเข้ามารวมกันได้ ความยุ่งเหยิงของระบบจะลดลง (เปรียบเสมือนห้องที่รกไปด้วยตัวต่อเลโก้กระจัดกระจาย แล้วตัวต่อเหล่านั้นก็วิ่งมารวมกันเป็นชิ้นงาน สภาวะความมีระเบียบจะเกิดขึ้นในห้อง) ดังนั้น ความโน้มถ่วงจึงทำให้จักรวาลมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
ถ้าเรานำน้ำตาลมาละลายน้ำ โมเลกุลของน้ำตาลจะแพร่กระจายอย่างไร้ทิศทางอยู่ในน้ำ แต่ถ้าเรานำน้ำเชื่อมนั้นมาใส่หลอดทดลองแล้วหมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างสนามแรงโน้มถ่วงเทียม ในที่สุดเราจะเห็นน้ำตาลรวมกันเป็นเกล็ดตกตะกอนอยู่ก้นหลอดทดลอง สภาวะที่น้ำตาลตกตะกอน
ก็คือการมีระเบียบมากขึ้นนั่นเอง สภาวะไร้ระเบียบจะแปรผันตามเวลา
แรงโน้มถ่วงช่วยทำให้สภาวะมีระเบียบเพิ่มขึ้น ดังนั้น แรงโน้มถ่วงจึงทำให้เวลาเดินช้าลง การที่น้ำตาลกับกลายมาเป็นเกล็ดได้เหมือนเดิม ก็คล้ายๆ กับการย้อนเวลานั่นเอง จักรวาลก็ใช้หลักการนี้โดยอาศัยหลุมดำเป็นตัวเหวี่ยง
ดาราจักรจะต้องหมุนรอบตัวเอง โดยมีหลุมดำอยู่เป็นแกนกลางของแต่ละดาราจักรในดาราจักรทางช้างเผือกของเรา พบหลุมดำมีขนาดมวลประมาณ
3 ล้านเท่าของดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง ซึ่งมวลขนาดนี้ ถ้าแสงหลุดเข้าไป จะไม่มีทางได้กลับออกมา เวลาส่องกล้องมอง เราจึงเห็นมันมึดสนิท นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งชื่อว่า หลุมดำ (Black Hole) ซึ่งในตอนแรกประเทศฝรั่งเศษ
ไม่ยอมรับคำนี้ เพราะคำว่า Black Hole ในภาษาฝรั่งเศษ แปลได้ความหมายเป็นคำหยาบอย่างมาก ที่น่าประหลาดใจก็คือ ดวงดาวที่อยู่บริเวณขอบนอกขอดาราจักรมีความเร็วในการเคลื่อนที่ไปรอบๆ ไม่ต่างจากดวงดาว
ที่อยู่ใกล้ใจกลางดาราจักรเลย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น (ตามปกติวงนอกต้องเคลื่อนที่ช้ากว่างใน เช่น ดาวพลูโตมีความเร็วโคจรต่ำกว่าดาวพุธ) ยังคงเป็นปริศนาที่ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบอยู่จนถึงทุกวันนี้ เพราะถ้าเร็วขนาดนั้น ดาวที่อยู่บริเวณขอบนอกของดาราจักรควรจะถูกเหวี่ยงออก
ไปจากวงโคจรแล้ว สมมติฐานหนึ่งบอกว่า ดาราจักรยังมีสสารมืด
ที่มองไม่เห็น กระจายอยู่ทั่ว คอยยึดดาราจักรเข้าไว้ด้วยกัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่า ดาราจักรทางช้างเผือกของเราหมุนเร็วมากจนถึง
ขนาดที่ดวงดาวทั้งหลายน่าจะถูกเหวี่ยงจนกระจัดกระจายออกจากกัน
แต่มีพลังงานที่มองไม่เห็นคอยยึดดาราจักรไว้เป็นกลุ่มก้อนซึ่งนอกจากหลุมดำแล้ว อาจจะเป็นสสารมืด หรือพลังงานมืด เปรียบเสมือนการเอาลูกแก้วใส่จานแล้วหมุนอย่างเร็ว ลูกแก้วจะต้องกระเด็นออกนอกจากแน่นอน
แต่สำหรับดาราจักรที่มีการหมุนคล้ายจาน กลับสามารถยึดดวงดาว
ให้หมุนวนเป็นกลุ่มใหญ่ได้ แน่นอนว่าด้านในเกิดจากแรงโน้มถ่วงของหลุมดำยึดไว้ แต่บริเวณขอบของดาราจักรแรงจากหลุมดำมาถึงน้อย ดังนั้น
ดาวบริเวณนี้ไม่ควรหมุนเร็ว แต่ในความเป็นจริงมันหมุนเร็วเท่าดาวบริเวณ
ใจกลางดาราจักรเลยทีเดียว ดวงดาวแต่ละดวงในดาราจักร ก็จัดอันดับความสำคัญกันเองตามความโน้มถ่วง ดาวที่มีมวลมากกว่า ความโน้มถ่วงสูงกว่า

จะบังคับให้ดวงดาวที่เล็กกว่า หมุนรอบตัวมัน ถ้าไม่ยอมหมุน ก็จะดูดดวงดาวนั้นเข้าหาตัวมัน (เช่น ถ้าวันใดดวงจันทร์หยุดหมุน ก็จะตกลงสู่พื้นโลกหรือถ้าโลกหยุดหมุน ก็จะถูกดวงอาทิตย์ดูดเข้าไป) ดังนั้น ในดาราจักรจะประกอบด้วยระบบดวงดาวย่อยๆ ที่หมุนรอบๆ ถ้าเป็นกลุ่มอยู่มากมาย

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

๔.๖ อุณหภูมิกับเวลา

๔.๕  อุณหภูมิกับเวลา

ช่วงเวลาขณะเกิดบิ๊กแบง มีอุณหภูมิสูงถึง 100,000 ล้านองศาขณะนั้นเวลาจะผ่านไปเร็วมาก ประมานว่า 1 นาทีในขณะนั้น เทียบเท่า 10,000 ล้านปีในในปัจจุบันเลยทีเดียว ในหลุมดำ มีอุณหภูมิต่ำมาก ประมานเพียงเศษหนึ่งส่วนล้านองศาเหนือศูนย์สมบูรณ์ (ศูนย์สมบูรณ์คือ ภาวะที่ไม่มีความร้อนและอุณหภูมิหลงเหลืออยู่เลย = OK ) ยิ่งหลุมดำใหญ่อุณหภูมิจะลดต่ำลงกว่านี้อีก ในจักรวาลอันเวิ้งว้างมีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาน 2.7 K อุณหภูมิก็เหมือนน้ำ คือจะไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลจะไหลลงเข้าหลุมดำ ที่อุณหภูมิศูนย์สมบูรณ์ หรือ 0 เคลวิน (-273.15 องศาเซลเซียส) คือสภาวะที่เย็ยสนิท ณ จุดนี้ทุกสิ่งจะหยุดนิ่งแม้แต่เวลา อิเล็กตรอนก็จะหยุดเคลื่อนที่ ดังนั้น ถ้าใครตกไปในหลุมดำ ยิ่งเข้าใกล้หลุมดำเวลาจะเดินช้าลงเรื่อยๆ จนเวลาหยุดนิ่ง เมื่อถึงใจกลางของหลุมดำ ในจักรวาลนี้ไม่มีความเย็นที่แท้จริง มีแต่ร้อนน้อย แม้จะติดลบ 100 องศาเซลเซีบส ในทางวิทยาศาสตร์ก็ถือว่ายังร้อนอยู่ เพียงแต่มนุษย์เอาประสาทสัมผัสของตัวเองวัดเลยว่าเย็น ใจของคนเราก็เช่นกันไม่มีใจเย็นจริง มีแต่ร้อนน้อย ตราบใดที่ยังมีกิเลส ตัณหา หรือในจักรวาล
นี้ไม่มีความมืดที่แท้จริง มีแต่สว่างน้อย และสัจธรรมขั้นสูงสุดคือจักรวาลนี้มีแต่ความว่าง ไม่มีอะไรที่เป็นจริงเลย ถ้ามองในมุมของเวลาในน้ำแข็งเวลาจะเดินช้าที่สุด เราจึงใช้น้ำแข็งสำหรับการแช่เนื้อ กุ้ง หอย ปู ปลา เพราะจะไปช่วยยืดเวลาให้เน่าเสียช้าลง ในต่างประเทศจะแช่เนื้อไว้ที่ตู้น้ำแข็ง (Freezer) สามารถเก็บไว้ได้นานนับปีโดยไม่เสีย  ส่วนในไอน้ำเวลาจะเดินเร็วที่สุด ดังนั้น ถ้าเราต้องการเร่งเวลา จะใช้ไอน้ำช่วย เช่น เวลาย้อมสีผม ถ้าได้การอบไอน้ำที่ศรีษะ ผมจะเปลี่ยนสีเร็วขึ้น ในฤดูร้อน อาหารจึงบูดเสียเร็วกว่าฤดูหนาวแม้ว่าทุกฤดู 1 วันจะมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่เวลาที่แท้จริงในฤดูหนาวจะยาวนานกว่าฤดูร้อน ขึ้นอยู่กับว่าอุณหภูมิห่างกันเท่าไร เช่น 10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว กับ 35 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน ผลไม้ที่อยู่นอกตู้เย็นในฤดูหนาวจะอยู่ได้ถึง 3 วันจึงจะเสีย ในขณะที่ฤดูร้อนใช้เวลาเพียงวันเดียว ไม่เฉพาะผลไม้ ปฎิกิริยาอื่นๆ เช่น การเติบโตของต้นไม้ความเร็วเสียง การไหลของน้ำ การสั่นของโมเลกุล เมตาบอลิชึมของเชลล์ ก็จะเร็วขึ้นด้วยถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น เวลาเราไม่สบายอุณหภูมิในร่างกายจะสูงขึ้น ทำให้เส้นเลือดขยาย เชลล์ต่างๆ ทำงานเร็วขึ้น เม็ดเลือดขาว ระบบภูมิคุ้มกัน ทำงานได้ไวขึ้น ซึ่งเป็นกระบวนการรักษาตัวเองทางธรรมชาติ ในทางนาม เราจึงใช้ความร้อนมาเปรียบเทียบกับใจ คนใจร้อน คือคนที่ใจไม่นิ่ง รู้สึกว่าเวลาเดินเร็วไป ส่วนคนใจเย็นก็คือคนที่ใจนิ่ง รู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง ดังนั้น ถ้าให้ทั้ง 2 คนมากู้ระเบิดที่กำลังจะระเบิดในอีก 5 นาทีข้างหน้า คนใจเย็นจะบอกว่ายังพอมีเวลา แต่คนใจร้อนซึ่งเวลาเดินเร็ว จะลุกลน และบอกว่าเวลาไม่พอ ในทางกลับกัน ถ้าให้คนใจร้อนรอคอย แม้เพียง 10 นาที เขาจะรู้สึกว่าราวกับครึ่งชั่วโมง เพราะเวลาใจเขาเดินเร็วกว่าเวลานาฬิกา บางครั้งใจคนเราก็เปลี่ยนแปลงได้ เช่น ขณะรอแฟนสาวสวยจะใจเย็น รอ 1 ชั่วโมงราวกับ 10 นาที แต่เมื่อแต่งงานแล้วจะกลายเป็นใจร้อน คือรอภรรยา 10 นาที นานราวกับรอ 1 ชั่วโมง
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จึงอธิบายทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา ด้วยประโยคง่ายๆ ว่า วางมือบนเตาร้อนเพียง 1 นาที รู้สึกราวกับนาน เป็นชั่วโมง นั่งกับสาวงามนาน 1 ชั่วโมง กลับรู้สึกเหมือนแค่ 1 นาที นี่แหละสัมพัทธภาพ ประโยคนี้ไอน์สไตน์กำลังพยายามอธิบายเรื่องของเวลานั่นเอง เนื่องจากเวลาจะเดินเร็ว ตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น ดังนั้นในสัตว์ที่จำศีล มันต้องพยายามลดอุณหภูมิในตัวให้ต่ำที่สุด เพื่อให้เวลาภายในตัวมันเดินช้าลงเมื่อเทียบกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในกบที่จำศีลช่วงฤดูแล้ง 3 เดือน เวลาในตัวมันผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง นั่นหมายความว่า หลังจากที่กบออกจากจำศีลมันจะรู้สึกว่า มันฝังตัวลงไปในดินแค่ไม่กี่วัน ไม่ใช่ 3 เดือนตามเวลาภายนอก เพราะเวลาภายในตัวมันเดินช้ามากๆ สำหรับมนุษย์ เป็นสัตว์เลือดอุ่น ซึ่งมีอุณหภูมิของร่างกายคงที่ 37 องศาเซลเซียส จึงไม่สามารถจำศีลได้
การที่เวลาเดินเร็วเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้การค้นพบไฟของมนุษย์ยุคโบราณ จึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ชาติมาก เพราะไฟทำให้ปฎิกิริยาต่างๆ เกิดเร็วขึ้น ไฟทำให้อาหารสุกเร็วกว่าตากแดด ช่วยเร่งเมตาบลิชึมของร่างกาย ใช้ฆ่าเชื้อโรค ความร้อนทำให้เวลาเดินไปข้างหน้าเร็วขึ้น ในขณะที่ความโน้มถ่วงทำให้เวลาเดินช้าลง ดังนั้น กรณีที่ดวงอาทิตย์ยุบรวมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ทำให้ความโน้มถ่วงเพิ่มขึ้น 
แต่มันก็จะคายพลังงานความร้อนออกมามหาศาล ทำให้เมื่อรวมผลลัพธ์แล้ว เวลาที่เดินเร็วขึ้นเนื่องจากความร้อนที่เพิ่มขึ้น มากกว่าเวลาที่เดินช้าลงเนื่องจากความโน้มถ่วง ดังนั้น เวลาลัพธ์ก็เท่ากับเดินไปข้างหน้า ปัจจุบัน จักรวาลกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้อุณหภูมิโดยรวมในจักรวาลเย็นลงเรื่อยๆ ปัจจุบันอุณหภูมิในอวกาศอยู่ที่ประมาน 2.7 เคลวิน ถ้าลดลงถึงศูนย์ สรรพสิ่งในจักรวาลจพหายไปทันที แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่เชื่อว่า อุณหภูมิที่ 0 เคลวิน จะมีอยู่จริง เช่นเดียวกับที่ไม่มีอะไรสามารถเร็วได้เท่าแสง เพราะปรากฎการณ์ทั้งสองนี้ ถ้าเกิดขึ้นได้ จักรวาลจะหายวับไป รวมทั้งเวลาด้วย

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔.๕ การข้ามเวลา

๔.๕ การข้ามเวลา

แม้ว่าเส้นทางเวลาจะถูกกำหนดไว้แล้ว แต่มนุษย์มีกำลังสติที่สามารถเปลี่ยนเส้นทางของเวลาได้ เปรียบเสมือนแม่น้ำที่แยกออกเป็น 2 สาย ปลาสิทธิจะเลือกว่านไปทางใดทางหนึ่ง แต่ทั้ง 2 เส้นทาง มันก็ไม่รู้ว่าต้องพบกับอะไรในอนาคตบ้าง และถ้าเลือกทางหนึ่งมันจะไม่รู้เลยว่าอีกเส้นทางเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับมนุษย์เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือกแต่งงานระหว่างแฟน 2 คน
ทั้ง 2 เส้นทางชีวิตนี้ก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องเจอกับอะไรบ้าง และถ้าเลือกแต่งกับคนหนึ่ง อีกเส้นทางหนึ่งก็ไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นอย่างไร และคาดหมายไม่ได้ด้วย ทฤษฎีควอนตัมบอกไว้ว่า เราไม่มีทางรู้ จนกว่าจะเอาตัวเองเข้าไปวัด ความไม่แน่นอนมีอิทธิพลสูงจนมิอาจคาดการณ์ได้ สำหรับในทางวิทยาศาสตร์ การเดินทางข้ามเวลาไปในอนาคต ตามทฤษฎีแล้ว ทำได้ง่ายกว่าการเดินทางย้อนอดีต ดังนั้น ถ้าการข้ามเวลาทำได้จริง ควรเริ่มต้นด้วยการเดินทางไปอนาคต (แต่ปัญหาคือแล้วจะกลับมาปัจจุบันได้อย่างไร) การเดินทางไปในอนาคตสามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพแต่การเดินทางย้อนอดีตดูเหมือนใช้ทฤษฎีควอนตัมอธิบายจะง่ายกว่าเพราะการเดินทางไปในอนาคตยังเป็นมิติเดิม เพียงแต่ข้ามเวลา แต่การเดินทางย้อนอดีต จะเป็นมิติซ้อนมิติ (เช่น มีตัวเรา 2 คน คือคนที่ย้อนไปกับคนในอดีต) ซึ่งทฤษฎีควอนตัมสามารถอธิบายได้ ในเรื่องนี้ สตีเฟน ฮอร์กิ้ง ก็เห็นด้วยว่า การเดินทางข้ามเวลาไปในอนาคต มีโอกาสทำได้ สูงกว่าการเดินทางย้อนอดีต ปัญหาก็คือ ถ้าเราข้ามไปอยู่ในโลกอนาคตแล้ว เราอาจจะย้อนกลับมาที่เวลาเดิมไม่ได้อีก ตัวตนเราจะหายไปจากโลกปัจจุบัน และไปใช้ชีวิตในโลกอนาคตแทนคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ๆ สมมติเราสามารถนั่งยานข้ามเวลาโผล่พรวดไปในปี พ.ศ. 2600 แต่กลับมาเวลาเดิมไม่ได้อีก ไปแล้วไปลับ คงไม่มีใครอยากไป พระพุทธองค์ก็ทรงรู้ว่าปรินิพพานในวันไหน แต่เมื่อไม่ให้เกิดการตระหนก  พระองค์ทรงเลือกที่จะบอกก่อนเพียง 3 เดือนแก่พระอานนท์
ว่า "อานนท์อีก 3 เดือนเราตถาคตจักปรินิพพาน"แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้ล่วงหน้าได้เช่นกัน พระอาจารย์ มั่น ภูริทัตโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลวงตามหาหัว ญาณสัมปันโน ว่า "อายุ 80 ปี จะนิพพาน"หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า "78 ปี อายุจะต้องสิ้นสุด" เหตุที่การย้อนอดีตทำยากกว่า เพราะว่าขัดกับกฎของเทอร์โมไดนามิกในทางวิทยาศาสตร์เหมือนการไปทำให้จักรวาลหดตัวกลับ  และผิดหลักอนิจจังในทางพระพุทธศาสนา ที่ว่า สรรพสิ่งจะต้องตกอยู่ในสภาวะเสื่อมลงอยู่เสมอ ดังนั้น การจะย้อนเวลาให้ลดจากอายุ 60 เป็น 40 เป็นไปไม่ได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ถ้าการย้อนเวลาทำได้จริง จิตจะเป็นเพียงผู้ดู แต่มิอาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงอดีตนั้นได้เลย กาลเวลาที่ผ่านไปนั้นไม่ได้สูญหายไปไหนมันจะถูกเก็บไว้เหมือนระบบอย่างหนึ่ง สักวันเราคงจะสามารถเข้าถึงระบบเหล่านี้ได้ และทฤษฎีที่จะทำให้เกิดขึ้นน่าจะเป็นทฤษฎีควอนตัม โดยเฉพาะเรื่องหลักการพัวพันทาง        ควอนตัม ที่สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยความไวมากกว่าแสง
ถ้าต้องการย้อนเวลาเพียงการเป็นผู้ดู เชื่อว่าเทคโนโลยีในอนาคตสามารถทำได้อย่างแน่นอน มันก็เหมือนกับการเล่นวิดีโอย้อนกลับ เพียงแต่ภาพเป็น 3 มิติ และตัวเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย เช่น ยืนอยู่ข้างๆ มองเห็นตัวเองกำลังนั่งทานข้าวเมื่อ 3 วันที่แล้ว แต่เป็นเพียงการเห็น ไม่สามารถเข้าไปแก้ไขอะไรได้ แต่อย่างไรก็ตาม การย้อนเวลาเช่นนี้จะมีประโยชน์อย่างมาก ในการสืบสวนความผิด จับโกหกผู้ร้าย วิเคราะห์อุบัติเหตุ ถ้าเทคโนโลยีเกิดขี้นจริง ในอนาคตตำรวจกับศาลคงทำงานง่ายขึ้นมาก ตามทฤษฎีไร้ระเบียบได้เปรียบเปรยไว้ว่า แม้ผีเสื้อตัวหนึ่งกระพือปีกที่ฮ่องกง ก็สามารถเป็นต้นเหตุให้เกิดพายุทอร์นาโดขึ้นที่นิวยอร์กในอีก 1 เดือนต่อมาได้ 
สรรพสิ่งในโลกล้วนสัมพันธ์กัน ดังนั้น การที่มนุษย์คนหนึ่งได้เกิดขึ้นมาบนโลก ย่อมจะส่งผลกระทบไปในวงกว้างยิ่งกว่าผล กระทบปีกผีเสื้อ (butterfly effect) เพราะมนุษย์สามารถส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่าผีเสื้อเป็นล้านเท่าการย้อนอดีตก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากว่าเทคโนโลยีย้อนเวลาสามารถทำได้จริง
มนุษย์คนที่ย้อนเวลาไปในอดีต จะต้องทำให้ประวัติศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นธรรมชาติจึงทำให้การย้อนเวลาเป็นของต้องห้ามสำหรับคนที่จิตไม่บริสุทธิ์ ยังเจือปนไปด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน (ตัวกู ของกู) การย้อนเวลา จะสามารถทำได้เฉพาะผู้ที่ฝึกจิตจนถึงระดับที่สามารถละกิเลสทั้งหมดได้เท่านั้น ญาณหยั่งรู้อดีต จะลึกชึ้ง ละเอียดกว่าการย้อนเวลา เพราะจะรู้ไปถึงอดีตชาติเลยทีเดียว ก็คือรู้กรรมในอดีตทั้งหมด รวมไปถึงปฎิสัมพันธ์ของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตด้วย เมื่อบรรลุญาณจะรู้ว่า เหตุการณ์ในแต่ละชาติไม่จำเป็นต้องเป็นผลมาจากชาติที่แล้ว
อาจจะเป็นชาติก่อนหน้านั้นหลายๆ ชาติก็ได้เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุมาจากวันนี้ อาจเป็นเมื่อวานซืน หรือสิบวันร้อยวันที่แล้วก็ได้ ดังนั้นกรรมเก่าที่รอตามเอาคืนมากมายมหาศาลเหลือเกิน เมื่อรู้เช่นนี้ จึงต้องการหลุดพ้นจากวังวนแห่งสังสารวัฎ พระพุทธองค์ทรงพบว่า ใน 31 ภพภูมิเวลาเดินเร็วช้าไม่เท่ากันยิ่งภพภูมิสูเวลายิ่งเดินช้าลง ดังนั้น บนสวรรค์ชั้นสุดของอรูปพรหม (ชั้น 31 ) เวลาเดินช้ามากๆ แต่อย่างไรก็ตาม ชั้นนี้ยังไม่ใช่พิพพานเพราะยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของเวลาอยู่ มีเกิด มีดับ มีอนิจจัง ทุกขัง เพียงแต่นามมากเท่านั้นเอง ในภพของเทวดาแต่ละชั้นเวลาก็ไม่เท่ากัน เช่น สวรรค์ 4 ชั้นแรกที่มนุษย์ทั่วไปมีโอกาสจะไปเกิดมากที่สุด คือชั้นจาตุมมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นมายา และชั้นดุสิต พระพุทธองค์ทรงอธิบายไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 50 ปีมนุษย์ เป็นคือหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นจาตุมมหาราช 100 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดาวดึงส์ 200 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นมายา 400 ปีมนุษย์ เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของเทวดาชั้นดุสิต พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าเวลายืดหดได้ ก่อนทฤษฎีสัมพัทธภาพถึงกว่า 2000 ปี

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔.๔ แสงกับเวลา

๔.๔ แสงกับเวลา

ถ้าแสงมีความเร็วช้าเหมือนเสียง จะทำให้อดีตกลายเป็นอนาคตได้ เช่น เราอยู่บนรถไฟตู้ที่ 2 ได้ยินเสียงคนยิงปืนขึ้นที่หัวขบวน และวินาทีต่อมาได้ยินเสียงปืนดังมาจากทางท้ายขบวนอีกนัด เราจะบอกได้ทันทีเลยว่า คนที่หัวขบวนยิงปืนก่อน แต่ความจริงแล้ว คนที่ท้ายขบวนยิงก่อนเพียงแต่เสียงกว่าจะมาถึงหูเราต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่า เลยมาถึงทีหลังเสียงปืนจากหัวขบวน เช่นเดียวกัน ถ้าแสงเดินทางได้เท่าเสียง สมมติว่าเรายืนบนหลังคารถไฟตู้ที่ 2 เราจะเห็นกับตาเลยว่า คนที่อยู่บนหลังคาหัวขบวนยิงปืนก่อนคนที่อยู่ท้ายขบวน (ทั้งๆ ที่ความจริงกลับกัน) ดังนั้น ถ้าเราส่องกล้องในคืนวันหนึ่ง แล้วเห็นดวงดาวระเบิดขึ้นพอดีบนท้องฟ้า เราจะบอกว่าดวงดาวนั้นระเบิดในเวลาที่ส่องกล้องไม่ได้ มันอาจจะระเบิดเมื่อพันปี หมื่นปีที่แล้ว
แต่แสงเพิ่งเดินทางมาถึงตาเรา ถ้าตอนนี้เราส่องกล้องดูที่พื้นผิวของดาวอังคาร ก็จะเห็นดาวอังคารเมื่อประมาน 4 นาทีก่อน
สรุปแล้วสิ่งที่เราเห็นเป็นอดีตทั้งหมด จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะห่าง แม้แต่การส่องกระจก กว่าแสงจะเดินทางไปที่กระจกแล้ว สะท้อนเข้าตาเราก็ต้องใช้เวลา ดังนั้น ภาพที่เห็นก็ไม่ใช่ปัจจุบันขณะนั้นแล้ว เหตุที่แสงต้องที่ความเร็วสูงมาก ก็เพื่อทำให้ทุกสิ่งที่เราเห็น อยู่ใกล้ปัจจุบันขณะที่สุด จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าแสงมีความเร็วเท่าเสียงคือ 350 เมตรต่อวินาที ผู้ชมบนอัฒจรรย์ในสนามกีฬาตามจุดต่างๆ จะเห็นนักวิ่งเข้าเส้นชัยไม่พร้อมกัน เวลาตัดสินคงจะวุ่นวายน่าดู ถ้าเราสามารถเดินทางเร็วกว่าแสง จะพ้นจากอิทธิพลของแสงในมิตินี้ทันที ในขณะที่ก่อนหน้านั้นแสงไปยืดเวลา จนทำให้เราเห็นแสงเร็วเท่าเดิมตลอด  เมื่อหลุดพ้นจากแสงจะเป็นอิสระจากกาลเวลา สภาวะนิพพานอยู่เหนืออิทธิพลของแสงและเวลา ดังนั้น เมื่อบรรลุนิพพาน จะสามารถหยั่งรู้ทุกมิติ ทุกภพภิมิ อยู่ในช่วงปัจจุบันขณะทั้งหมด 
เข้าใจทุกอย่าง ทะลุมิติที่แฝงอยู่ในจักรวาล รวมไปถึงบริเวณ
ที่แสงไปไม่ถึงด้วย และเนื่องจากทุกมิติ ทุกภพภูมิ ล้วนอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงและเวลา เมื่อสามารถกำหนดจิตจนอยู่ที่ปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง เท่ากับว่าเอาชนะแสงได้ ความลับของมิติ ภพภูมิอื่นๆ ที่แสงเก็บซ่อนไว้จากตาเนื้อ จะถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นอย่างแจ่มชัด เป็นการผุดรู้ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันขณะเจริญสติวิปัสสนากรรมฐาน ปลาที่อยู่ในตู้จะไม่รู้สึกว่า
กำลังถูกจองจำ เพราะตัวมันไม่สามารถแยยกออกมาจากน้ำได้ ถ้ามีปลาสักตัวสามารถออกมานอกตู้แล้วมองเข้าไป มันจะเข้าใจทันทีว่า เพื่อนๆ มันไม่ได้มีอิสระแต่อย่างใด เช่นเดียวกัน
มนุษย์ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกจองจำ จนกว่าจะมีใครหลุดพ้นจากอิทธิพลของแสงและเวลา แล้วมองกลับเข้าไปจึงจะรู้ว่า เหล่าสรรพสัคว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย น่าเวทนายิ่งนักและสภาวะที่สามารถพ้นจากวงจรนี้มีอยู่จริง ซึ่งพระองค์ก็ทรงค้นพบแล้ว

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔.๓ การย้อนกลับของเวลา

๔.๓  การย้อนกลับของเวลา

ถ้าคิดแบบ 2 มิติ เราจะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะออกเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ แล้วในที่สุดจะกลับมาอยู่ข้างหลังของตัวเราเอง
และ ถ้าคิดแบบ 3 มิติ เราก็จะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้จรวดพุ่งขึ้นฟ้าตรงไปในจักรวาล แล้วจรวดนั้นจะกลับมาที่โลกอีกครั้ง เช่นเดียวกันถ้าคิดแบบ 4 มิติ เราก็จะบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่เวลาซึ่งเดินไปข้างหน้าจะย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
สมัยที่มนุษย์ยังอยู่แบบ 2 มิติ ไม่มีใครเชื่อว่าโลกโค้งจนสามารถเดินทางย้อนกลับมาที่ตำแหน่งเดิมได้ จนเมื่อเข้าใจมิติที่  3 มนุษย์จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วมิติที่ 2 ที่เห็นโค้งถึง 360 องศา และเช่นกันถ้ามนุษย์ เข้าใจมิติที่ 4 ก็จะรู้ว่ามิติที่ 3 สามารโค้งและย้อนกลับมาได้ ยิ่งถ้าเข้าใจไปถึงมิติที่ 5 ก็จะรู้ว่าเวลาในมิติที่ 4 ก็สามารถโค้งกลับมาที่เดิมได้เช่นกัน เวลามีความยืดหยุ่นได้เหมือนยางยืด ดังนั้น ถ้าเราสามารถพับยางวงให้เป็นเลข 8 ได้ 
การย้อนหรือข้ามเวลาจะเกิดขึ้นได้ทันที ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการพับยางยืดแห่งเวลาก็คือแรงโน้มถ่วงนั่นเอง
อย่าคิดว่าเวลาเดินทางเป็นเส้นตรง ในเมื่ออวกาศยังโค้งได้
แล้วทำไมเวลาจะโค้งไม่ได้ พระพุทธศาสนาในยุคแรกจึงใช้สัญลักษณ์ล้อเกวียน ซึ่งหมายถึงกสนหมุนวนในช่วงเวลาแห่งสังสารวัฎ เวลา ความเร็ว ความเร่ง และปริมาตรล้วนเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่นจนไม่สามารถแยหออกจากกันได้ คุณสมบัตินี้ได้รับการพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้วด้วยทฤษฎีสัมพัทธภาพ ปัจจุบันเราพบว่า ความเร็ว ความเร่ง และปริมาตร สามารถหายไปจนเหลือศูนย์ได้ คือไม่มีอยู่จริง ดังนั้น เวลาก็ต้องไม่มีอยู่จริด้วย ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งสมมติ เมื่อเสียชีวิต จิตเข้าใจความลับในเรื่องนี้ หรือบรรลุอรหันต์ขณะยังมีชีวิตอยู่ก็จะเข้าใจเช่นเดียวกัน ถ้าขนาดเวลายังหายไปได้ แล้วยังเชื่ออีกหรือว่า
สรรพสิ่งมีอยู่จริง

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔ . ๒ ปัจจุบันขณะ

 ๔ . ๒  ปัจจุบันขณะ

นักฟิสิกส์ ยืนยันว่า โลกและจักรวาลไม่มีอยู่จริงจนกว่าเราจะไปเห็นมัน และการเห็นต้องใช้แสงเป็นตัวสะท้อน ดังนั้น แสงคือตัวกำหนดสิ่งที่เราเห็น ถ้าในอีกมิติหนึ่งแสงมีความเร็วน้อยกว่าโลกครึ่งหนึ่ง (150,000 กิโลเมตรต่อวินาที) ตามนุษย์จะไม่สามารถมองเห็นแสงที่สะท้อนจากมิตินั้นได้ และมวลในมิตินั้น
ที่สร้างจากสูตร E=mc2 แต่ C (ความเร็วแสง) คนละค่ากับบนโลก ทำให้มนุษย์มองไม่เห็นมวลของมิติอื่นเช่นกัน การเห็นของมนุษย์จึงเป็นเพียงภาพมายาและรูปมายาที่แสงในมิตินี้สร้างขึ้นมาเท่านั้น เมื่อเราเสียชีวิตจะพบว่า โลกและจักรวาลไม่มีอยู่จริง
เราถูกแสงหลอกมาตลอดชีวิต เวลาก็เช่นเดียวกัน เมื่อใดที่กำหนดสติ จนไวถึงระดับขณะจิตซึ่งเป็นปัจจุบันขณะ จะเห็นความไม่ต่อเนื่องของเวลา เหมือนกับการเห็นความไม่ต่อเนื่องในฟิล์มภาพยนตร์ เราจะสามารถตัดต่อเอาฟิล์มส่วนหน้าไปไว้ส่วนท้ายได้ แต่สำหรับผู้ชมที่ไม่รู้ เห็นแต่ความต่อเนื่องไม่มี
สะดุดบนจอภาพยนตร์ สร้างสรรค์เรื่องราวเป็นอดีต อนาคต
ก็จะเข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดเรียงลำดับมาตามนั้น ข้ามไปมาไม่ได้
เหมือนกับในยุคสมัยอนาล็อก เราไม่สามารถตัดต่อได้ ม้วนวิดีโอก็จะเล่นตั้งแต่ต้นเรื่องไปท้ายเรื่อง แต่ปัจจุบันระบบดิจิตอลทำให้เรารู้ว่า แต่ละช่วงมีปัจจุบันขณะของมัน เราจะข้ามไปดูส่วนไหนก่อน หรือจะตัดส่วนที่ไม่ชอบออก ต่อเติม ตกแต่งภาพ ได้ตามใจชอบ เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เราคิดว่ามันต่อเนื่อง เมื่อกำหนดสติไวขึ้น ละเอีอดขึ้นจะรู้ว่า ความรู้สึกทั้งหลายเกิดจากจิตขึ้นมารับอารมณ์ ซึ่งการเกิดดับของดวงจิตมีลักษณะไม่ต่อเนื่องเช่นเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์พบว่า สรรพสิ่งในจักรวาลล้วนไม่ต่อเนื่อง เช่นน้ำ ดูเหมือนจะเป็นเนื้อเดียวที่กลมกลืน แต่ความจริงแล้วมันก็แยกออกเป็นโมเลกุลเล็กๆ เต็มไปหมด แสงก็แยกเป็นเม็ดโฟตอน หลอดไฟที่เห็นส่องแสงเนียนเรียบ ความจริงแล้วมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลาแต่เร็วมากจนตามองไม่ทัน ในแมลงบางชนิดจะเห็นภาพไวกว่ามนุษย์เป็น 10 เท่า มันจะเห็นการเคลื่อนไหวของมนุษย์เป็นภาพที่ช้อนกัน ไม่ต่อเนื่อง และช้ากว่าปกติดังนั้น เวลาเรายกมือขึ้นจะตบ มันจะเห็นภาพมือที่กำลังเคลื่อนเข้ามาเป็นภาพย่อยๆ ช้าๆ และบินหนีออกไปได้ทันที ความจริงแล้วขณะเดินจงกรม ถ้าฝึกสติให้ไวกว่าปกติสัก 10 เท่า ก็จะเห็นปรากฎการณ์นี้เช่นกัน เท้าที่เดินในแต่ละขณะ จะแยกออกเป็นภาพย่อยที่ไม่ต่อเนื่อง ปกติตาของมนุษย์จะมองภาพที่เกิดขึ้นมากกว่า 30 ภาพต่อวินาที เป็นภาพต่อเนื่อง เราใช้ความรู้นี้มาทำภาพยนตร์แอนิเมชั่น  ถ้าสติไวกว่าปกติจะเข้าใจว่า ความจริงแล้วมันไม่ต่อเนื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558

๔ .๑ มายาแห่งอดีต อนาคต

๔ .๑   มายาแห่งอดีต อนาคต

ถ้าปลาว่ายไหลตามกระแสน้ำปิงจากเชียงใหม่ มายังนครสวรรค์โดยที่ปลานั้นไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีนครสวรรค์บนโลกนี้ ดังนั้น ระหว่างอยู่ลำพูน มันจะคิดว่าเชียงใหม่เป็นอดีต (แต่มันยังไม่รู้อนาคต) ทีนี้ถ้าเกิดมีปลาตัวหนึ่งว่ายเร็วกว่ากระแสน้ำมาก นำหน้ามาถึงนครสวรรค์ก่อน แล้วว่ายทวนกระแสย้อนกลับไปหาปลาที่ลำพูน แล้วบอกว่า ในวันพรุ่งนี้จะต้องเจออะไรบ้าง ซึ่งปลาที่อยู่ลำพูนไม่เชื่อ แต่ปรากฏว่าในวันรุ่งขึ้นได้พบเห็นสิ่งต่างๆ จริงตามที่ได้ยินมา มันก็คงจะคิดว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เช่นเดียวกัน มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในกระแสแสง ถ้าใครทำความเร็วสูงกว่าแสงได้ ก็จะเหมือนปลาที่ว่ายเร็วกว่ากระแสน้ำ ด้วยเหตุนี้ แสงจึงไม่ยอมให้ใครทำความเร็วสูงกว่าตัวมัน เพราะมิฉะนั้นความลับเรื่องอดีต อนาคต ไม่มีอยู่จริงจะถูกเปิดเผย
ถ้าเราขึ้นเครื่องบินมองตามลำน้ำปิงก็จะรู้ว่าทุกอย่างอยู่ในปัจจุบันขณะเดียวกัน เพียงแต่จักรวาลของปลาคือน้ำ เพราะปลาเอาตัวเข้าไปอยู่ในกระแสน้ำ มันจึงหลงคิดไปว่าสิ่งนี้คืออดีต สิ่งนี้คืออนาคต ตามแต่กระแสน้ำพาไป เพียงแต่โฟตอนของแสงเบาบางกว่าโมเลกุลของน้ำ และความเร็วสูงกว่ามาก นอกจากนั้นแสงยังทำให้เซลล์ของเราแก่ลงไปด้วย (ถ้าแสงหยุดเคลื่อนที่ เราก็จะหยุดแก่) ตอนอายุ 30 เราอาจจะบอกว่า 10 ขวบเป็นอดีต และ 40 เป็นอนาคต ความจริงแล้วกระแสแสงนั่นเองที่ทำให้เราแก่จาก 30 เป็น 50 แรงโน้มถ่วงทำให้สายธารแห่งน้ำไม่ไหลย้อนกลับฉันใด แสงก็ทำให้สายธารแห่งเวลาไม่ไหลย้อนกลับฉันนั้น เพราะแสงก็คือตัวกำหนดเวลานั่นเอง
ถ้าเทียบการไหลของเวลาเหมือนกับสายน้ำ การเเล่นเรือทวนน้ำเปรียบได้สมถกรรมฐาน (การมีสมาธิแนบแน่น) เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนมองไม่เห็นรายละเอีอดของสิ่งต่างๆ เช่น เวลาที่มีสมาธิกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ส่วนการแล่นเรือตามน้ำ คือวิปัสสนา (การมีสติ) จะเห็นน้ำไหลช้าลง ทำให้เห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่อยู่ในกระแสน้ำ
และเมื่อเรือมีความเร็วเท่ากับกระแสน้ำ จะเห็นน้ำอยู่นิ่งนั่นก็คือเข้าสู่ปัจจุบันขณะอย่างแท้จริงคนที่ใจร้อนเวลาใจจะเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า ในขณะที่รายละเอียดลดลง 2 เท่ารวมแล้วเท่ากับว่าประสิทธิภาพตกลง 4 เท่า ดังนั้น การกระทำใดๆ ถ้าทำอย่างใจร้อนมักจะเสียหายหรือผิดพลาด อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ แต่อนาคตเราเลือกได้จากการตัดสินใจในปัจจุบัน ดังนั้นทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ผู้ป่วยโรคทางจิตเวชมักพบว่าเกิดจากการไปยึดติดกับเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต หรือไม่ก็มักจะพะวงกับสิ่งที่ยังไม่เกิดในอนาคตจนทำให้เคลียด
และที่แปลกคือผู้ป่วยไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ไม่ยอมรับรู้ปัจจุบัน ดังนั้นการรักษาจะทำให้ยากมาก
บางทีนั่งคุยกันอยู่ดีๆก็ไปคร่ำครวญถึงอดีต นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นผู้ป่วยเหล่านี้จะคิดถึงอดีตวันละนับร้อยๆครั้งเหมือนย้อนจิตกลับไปรับกรรมนั้นอีก แม้จะมีไครเคยทำให้เจ็บ เหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ยังจะย้อนใจกลับไปทำให้มันเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนมีอาการทางจิต ซึ่งในมุมมองของคนนอกจะรู้สึกว่าเป็นวิธีคิดที่ไม่ฉลาดเลย เพราะอนาคตสามารถเปลี่ยนได้จากปัจจุบันแท้ๆ แต่กลับไม่สนใจปัจจุบันเรารู้ว่าการจำไม่ได้จะสร้างความเสียหายให้กับชีวิต แต่การลืมไม่ได้อาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า ถ้าจิตแพทย์มีคาถา คงอยากจะเสกให้ผู้ป่วยทุกคนลืมอดีตให้หมด แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เราจะอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตทำไม ในเมื่อปัจจุบันอยู่ในกำมือเรา
และสามารถแก้ไขได้ทันที และถ้าจิตยังไม่เปลี่ยน แม้ได้ย้อนกลับไปก็จะตัดสินใจแบบเดิม แล้วจะมีประโยชน์อะไร

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ ๔ ความลับของเวลา

๔  ความลับของเวลา

เวลามองลูกโป่งไกลๆ บนท้องฟ้า เราจะเห็นลูกโป่งเป็นจุด เมื่อลอยเข้ามาใกล้ขึ้นจะเห็นเป็น 2 มิติและเมื่อขยายจนเห็นรายละเอีอดจะพบว่าลูกโป่งมี 3 มิติ และถ้าขยายลูกโป่งด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังสูงจะพบว่าลูกโป่งไม่มีอยู่จริง มีแต่อะตอมของธาตุต่างๆ มารวมกัน

เช่นเดียวกัน ในการมุมกว้าง จะเห็นเวลาเป็นเพียง 1 มิติ เช่น ช่วงเวลาของชีวิติมนุษย์เมื่อเทียบกับอายุของจักรวาล เป็นเพียงจุดเล็กๆ จุดหนึ่งเท่านั้น เมื่อมองเข้ามาใกล้ขึ้น เวลาจะขยายเป็น 2 มิติ คือมีจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด ทำให้เห็นอนิจจัง การเกิด การตาย และถ้าขยายเวลาจนมองเห็นรายละเอีอดภายใน

จะเห็นเวลาเป็น 3 มิติ เริ่มเห็นทุกขัง การเจ็บ การแก่ และถ้ากำหนดเวลาให้ละเอีอดยิ่งขึ้นจนอยู่ที่ปัจจุบันขณะได้ จะเห็นเวลาเป็น 4 มิติ (เห็นอนัตตา) คือ อดีต อนาคตไม่มีอยู่จริง
ก่อนกำหนิดจักรวาล ยังไม่มีเวลา เวลาเริ่มนับตั้งแต่การเกิดบิ๊กแบงและขณะที่เกิดจักรวาลใหม่ๆ อุณหภูมิสูงมาก เวลาในช่วงเกิดบิ๊กแบงจะไม่เท่ากับปัจจุบัน ประมานว่า 1 นาทีในขณะนั้นเทียบเท่ากับ 10,000 ล้านปีในปัจจุบันเลยทีเดียว เมื่อจักรวาลขยายตัวออกไปเรื่อยๆ อุณหภูมิในระบบก็เริ่มลดลง ทำให้เวลาเดินช้าลง ในยุคของนิวตัน คิดว่าเวลาคือฟันเฟืองของนาฬิกาที่หมุนแล้วทำให้เกิดเวลา 1 วินาที แต่มายุคของไอน์สไตน์พบว่า
อะตอมทุกอะตอมของธาตุทุกธาตุ มีเวลาอยู่ในตัวของมันเอง
ปัจจุบันจึงเปลี่ยนมากำหนดเวลาตามอะตอมของธาตุซีเซียม











วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ต่อจาก ๓.๒

 ต่อจาก ๓.๒ 

ไม่แน่ว่าทุกวันนี้ อาจมีผู้คนในอนาคตย้อนเวลากลับมาแล้วก็ได้แต่มองไม่เห็นเนื่องจากไม่มีมวล หลายต่อหลายครั้งที่จินตนาการในถาพยนตร์ เป็นจริงในเวลาต่อมา เช่น ยานอวกาศในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สเมื่อ 30 ปี ก่อนมีประตูอัตโนมัติและคอมพิวเตอร์ที่เหลือเชื่อในสมัยนั้น แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นจริงในยานอวกาศปัจจุบัน ตราบใดที่ยังมีมวล จะไม่สามารถข้ามเวลาได้ เนื่องจากมวลเป็นขีดจำกัดของความเร็วแสงมิตินี้
เพราะมันสร้างมาจากความเร็วแสงที่ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ตามค่า C ในสูตร E=me2 ดังนั้น การข้ามเวลาต้องใช้สิ่งที่ไม่มีมวล หรือถ้าจะต้องมีก็คงน้อยที่สุด เช่น อนุภาคโฟตอน อิเล็กตรอน นิวตริโน ไอน์สไตร์พบว่า พลังงานทุกชนิดเปลี่ยนเป็นมวลได้ เช่น ก้อนหิน มีมวล 1 กิโลกรัมเท่ากัน ก้อนที่ร้อนจะหนักมากกว่าเล็กน้อย หรือก้อนหินที่กำลังเคลื่อนที่ จะมีพลังงานจลน์ (E k) ซึ่งไปทำให้มวลเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นวัตถุที่วิ่งเร็วขึ้นๆ จะหนักมากขึ้น จนในที่สุดเมื่อเร็วเท่าแสง จะหนักเป็นอนันต์ นั่นก็หมายความว่า มันจะวิ่งเร็วกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะใส่พลังงานเข้าไปอีกเท่าใดก็ตาม เพราะตามสูตร F=ma ถ้า M เป็นอนันต์ ค่า F ก็ต้องเป็นอนันต์ด้วย ถึงจะเกิดความเร่ง (A) ขึ้นได้ อาจมีคนสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น ทำไมขอบจักรวาลถึงสามารถพองตัวได้เร็วกว่าความเร็วแสง นั่นก็เพราะการพองตัวของจักรวาล อยู่ในระดับที่สูงกว่ามิติที่  3 และแสงมีหน้าที่เพียงการคุมสสารและเวลาในมิติที่ 3 เท่านั้น หรือสรุปง่ายๆ ว่าแสงเป็นใหญ่เฉพาะในมิติของมันเท่านั้นถ้าเทียบกระแสแสงเป็นกระแสน้ำ ก็เหมือนกับน้ำไม่ยอมให้อนุภาคใดๆ ที่อยู่ในตัวมัน ทำความเร็วสูงกว่ากระแสน้ำ แต่การขยายขนาดแม่น้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนขนาดจักรวาล ด้วยความเร็วสูงกว่ากระแสน้ำ ก็ไม่เป็น เรื่องต้องห้าม
ถ้าเรามีไม้เมตรอยู่อันหนึ่ง ขณะที่คลื่นความโน้มถ่วงวิ่งผ่าน มันจะยืดหดไม้เมตรเป็นจังหวะ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พยายามจับคลื่นชนิดนี้ด้วยการทำท่อยาวถึง 4 กิโลเมตร   ที่มลรัฐหลุยเซียนา เมื่อมีคลื่นความโน้มถ่วงจากจักรวาลวิ่งผ่านโลก ท่อนี้จะมีความยาวเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันเราศึกษาจักรวาล โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นเครื่องมือ สมัยแรกๆ จะใช้แสงเป็นหลัก
เมื่อมาในยุคหลัง ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านความถี่อื่นส่องมองจักรวาล เช่น กล้องรังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา หรืออินฟราเรด พบว่า ภาพของจักรวาลแตกต่างจากที่มองเห็นด้วยแสงอย่างมากมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องความ
โน้มถ่วงส่องดูจักรวาลจะพบว่า เป็นคนละเรื่องกับที่เห็นด้วย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลย นอกจากนั้นจะส่องเห็นมิติอื่นๆด้วย เพราะหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่า แรงโน้มถ่วงเป็นแรงเพียงชนิดเดียวที่สามารถทะลุเข้าไปมิติอื่น  ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดจะอยู่ในกรอบของมิติเราเท่านั้นดังนั้น การถ่ายภาพเห็นผี เห็นปีศาจ จึงไม่ไช่ความจริง เพราะระบบการทำงานของกล้องจะเกี่ยวข้องกับแสง และแสงในมิตินี้ไม่สามารถสะท้อน
ไปยังมวลในมิติอื่นแล้วทำให้เกิดรูปขึ้นบนกล้องได้
แสงสามารถหลอกเราได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าเรายืนห่างจากกระจก 2 เมตร จะเห็นตัวเราอยู่ลึกเข้าไปในกระจก 2 เมตรด้วย
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะกระจกหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร เช่นเดียว
กับส่องกล้องดูจักรวาล  แสงที่มาอาจโค้งจากขอบจักรวาลอีกด้านหนึ่ง วิ่งเข้าหากล้องเราก็ได้ เปรียบเสมือนการส่องเห็นเทพี

สันติภาพ จากยอดตึกใบหยกในประเทศไทย แต่ในความรู้สึก
ของเราดูเหมือนแสงจะวิ่งเป็นเส้นตรงเสมอ จึงเข้าใจผิดว่าวัตถุหรือดวงดาวอยู่ ณ ตำแหน่งที่ส่องเห็น ความจริงแล้วมันโค้งมาแต่ไกล

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

๓ .๒ การท่องจักรวาล

๓ .๒  การท่องจักรวาล

นักวิทยาศาสตร์พยายามจะคิดยานอวกาศสำหรับท่องไปในจักรวาล โดยใช้เชื้อเพลิงที่มีอยู่บนโลก การท่องมิติที่ 4 ไม่สามารถใช้เชื้อเพลิงของมิติที่ 3 ได้ ดังนั้น ถ้ายังพัฒนาจรวดอย่างไรก็ไม่สามารถทะลุมิติ 4 ได้ การเดินทางด้วยอวกาศแบบนั้น ไแได้ไกลที่สุดก็แค่ดาวพลูโต
เปรียบดังเช่นมนุษย์ในยุค 2 มิติ ที่ใช้การพายเรือในการเคลื่อนที่ พลังงานจากการพายไม่สามารถท่องไปรอบโลกที่เป็นมิติ 3 ได้ แต่นักเดินเรือในยุคนั้นได้สร้างเรือสำเภาขึ้นมา 
ซึ่งใบเรือสามารถใช้แรงจากมิติที่ 3 (ความบิดเบี้ยวของอากาศ) ทำให้สามารถเดินเรือรอบโลกจนรู้ว่าโลกกลม เช่นเดียวกัน การจะท่องจักรวาลต้องใช้ความบิดเบี้ยวของอวกาศให้เป็นประโยชน์ ยานที่สร้างด้วหลักการนี้จะทะลุไปในมิติที่ 4 ได้
มนุษย์ในยุค 2 มิติไม่เข้าใจเรื่องผิวโลกโค้งฉันใด มนุษย์ในยุค  มิติก็ไม่เข้าใจเรื่องจักรวาลโค้งฉันนั้น ถ้าเข้าถึงมิติที่ 4 จะรู้ว่าจักรวาลโค้งเป็นอย่างไร และเรื่องเข้าสู่มิติที่ 5 จะเข้าใจความโค้งของกาลเวลา
หลังจากที่มนุษย์ใช้เรือสำเภามานับร้อยปี เมื่อเซอร์ไอแซค นิวตันคิดกฎของแรงได้
เข้าใจเรื่องความดันอากาศ ความดันน้ำ ทำให้สามารถคิดเรือที่ไม่ต้องใช้ความบิดเบี้ยวของอากาศในการเคลื่อนที่อีกต่อไป และยังสร้างเครื่องบินได้ด้วยเมื่อเข้าใจความบิดเบี้ยวของอากาศว่า อากาศที่บิดเบี้ยวน้อยกว่า (ใต้ปีก) จะมีความดันสูงกว่าเหนือปีก ทำให้ยกตัวเครื่องบินขึ้นได้ ก้าวแรกของมนุษย์ชาติในการบุกเบิกจักรวาล จะต้องเริ่มต้นจากการใช้ความบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศ เป็นเครื่องมือเสียก่อน หลังจากนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์อภิมหาอัจฉริยะแบบนิวตัน หรือไอน์สไตน์เกิดมาอีกครั้ง ก็จะต่อยอดสร้างยานอวกาศที่เทคโนโลยีสูงขึ้น เหมือนกับปัจจุบันที่เรามีเรือต่างๆ ที่ดีเยี่ยมกว่าเรือสำดภามากมาย
เราไม่มีทางเอาชนะแสงได้ แต่ดูเหมือนว่ามีทางที่จะเอาชนะแรงโน้มถ่วงได้ และแสงพ่ายแพ้
ต่อแรงโน้มถ่วง ดังนั้น ถ้าเราชนะแรงโน้มถ่วง นั่นหมายความว่า เราเอาชนะแสงได้ทางอ้อมนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นตามทฤษฎีพบว่า แรงโน้มถ่วงสามารถทะลุมิติได้ แต่แสงทะลุมิติไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเข้าใจความโน้มถ่วงมากพอ จะทำให้เข้าใจถึงเรื่องการทะลุไปมิติอื่นตามมา
เช่นเดียวกับเรือ การจะเดินทางไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ต้องรู็จักใช้คลื่น
ให้เป็นประโยชน์และต้องระวังคลื่นใหญ่ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อเรือได้ ยานอวกาศที่จะเดินทางไปในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ก็ต้องรู้จักการใช้คลื่นความโน้มถ่วงลูกใหญ่ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่นที่เกิดจากหลุมดำ ถ้าเทียบกับเรือ ก็คือแอ่งน้ำวนนั้นเอง นอกจากนั้น ตัวเรือเอาขณะที่วิ่งไปก็จะทำให้เกิดคลื่นด้วย เช่นเดียวกับยานอวกาศขณะที่เคลื่อนที่จะทำให้เกิดคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งต้องนำมาคำนวณด้วย แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ของโลกยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วง ดังนั้น คงอีกนานมากเลยทีเดียวกว่ามนุษย์จะสามารถเดินทางไปทั่วดาราจักร แต่ก็มั่นใจได้ว่าในอนาคต ถ้ามนุษย์ไม่ทำสงครามกันเองจนเทคโนโลยีถดถอยเสียก่อน การจะสร้างยานท่องไปในห้วงแห่งกาลอวกาศ สามารถทำได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น มนุษย์จะเป็นอิสระต่อเวลาและระยะทาง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องวิเคราะห์ก็คือ ร่างกายของมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถทนความเร่งจากแรงโน้มถ่วงที่มากกว่า 3G ได้ (3 เท่าของแรงโน้มถ่วงโลก) ดังนั้นถ้าประดิษฐ์ยานข้ามเวลา
 ข้ามระยะทางได้สำเร็จ มนุษย์อวกาศที่ขึ้นไปบนยานลำนั้น จะทนสภาพความโน้มถ่วง
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลได้หรือไม่ และถ้าท่องไปในจักรวาล ก็จะต้องพบกับระลอกคลื่น
เป็นระยะๆ เหมือนเรือที่ออกท่องมหาสมุทร จะต่างกันก็แต่คลื่นทะเลทำให้ศูนย์การทรงตัว
ของมนุษย์เสีย จึงเกิดอาการเมาคลื่น แต่คลื่นความโน้มถ่วงจะส่งผลไปถึงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ระบบเลือด ระบบประสาททั้งหมด ดังนั้น ต้องคำนึงถึงขีดจำกัดทางชีวภาพของมนุษย์ด้วย ยกเว้นจิต ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดนี้ เพราะจิตไม่มีเซลล์ ไม่มีมวลอาจเป็นไปได้ว่า
การข้ามมิติ ข้ามเวลาในอนาคตจะออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เรื่อง The Matrix หรือ inception ที่ใช้จิตและสติเดินทางไปแทน ดังนั้น ถ้าคิดจะกลับไปเปลี่ยนอดีคต้องใช้จิตเหนี่ยว
นำจิตเท่านั้น เราไม่สามารถเอาร่างกายไปทำอะไรมิตินั้นได้ เพราะกายไม่ได้ข้ามเวลาไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม คนที่จะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีกำลังสติที่สูงมาก เพราะการถอดจิตโดยเจตสิกที่เรียกว่า สติ ไม่ติดตามไปจะอันตรายมาก อาจถึงขนาดกลับเข้ามาในร่างเดิมไม่ได้อีก
ยังไม่จบนะครับ
ติดตามอ่านต่อได้ในบนที่ 2 นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

๓.๑ จักรวาล 11 มิติ

๓.๑ จักรวาล 11 มิติ

การกำหนดตำแหน่งในมิติที่ 4 ต้องบอกกาล-อวกาศด้วยถ้าไม่กำหนดกาล-อวกาศ เราจะไม่สามารถหากันเจอได้เลย ในระดับที่ 3 มิติเราสามารถกำหนดเพียงสถานที่และเวลาได้ เช่น นัดกับเพื่อนที่ลาน
น้ำพุชั้น 2 สยามพารากอน เวลาบ่ายโมง เท่านี้ก็หากันเจอแล้ว เพราะอยู่ในกาล-อวกาศ เดียวกัน
แต่ถ้าเราจะนัดเพื่อนบนดาวแพนโดราให้มาเจอกันบนดวงจันทร์เวลาบ่ายโมง
ด้วยมูลเพียงเท่านี้ไม่มีทางหากันเจอเพื่อนที่นัดกันไว้ได้ เพราะกาล-อวกาศทำให้เวลาและระยะทาง
ยืดหดได้ เช่นเดียวกับก๊าซที่ปริมาตรยืดหดได้ เวลาเราบอกปริมาตรก๊าซจึงต้องบอกอุณหภูมิและความดันควบคู่ไปด้วยเสมอ ถ้าเรานัดเพื่อนให้เอาก๊าซออกชิเจนมาคนละ 1 ลิตร แต่ไม่บอกอุณหภูมิและความดัน มั่นใจได้เลยว่า เพื่อนไม่มีทางเอาก๊าซมาได้ปริมาณตรงกับเราเลย
การกำหนดขนาดก๊าซขึ้นอยู่กับความร้อนและความดันฉันใดการกำหนดขนาดของระยะทางและเวลาก็ขึ้นกับความเร็วและความโน้มถ่วงฉันนั้น ในการขับรถบนโลก เราอาจนัดเพื่อนว่า ขับไปข้างหน้าถึง 100 กิโลเมตร หรือขับไปแล้ว 1 ชั่วโมง ให้หยุดรอกัน แต่สำหรับการขับยานอวกาศความเร็วสูง ระยะทางและเวลาจะยึดหดตามความเร็ว ดังนั้นถ้าจะนัดเพื่อนให้หยุดรอ ข้อมูลเพียงระยะทางหรือเวลาอย่างเดียว ใช้ไม่ได้ในระดับจักรวาล ต้องมีตัวเลขอีก 1 ตัวที่บ่งบอกถึงความบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศ อันเนื่องมาจากมวลของยาน ความเร่ง ความเร็ว อุณหภูมิ และความโน้มถ่วงด้วย
เรารู้มานานแล้วว่า ขนาดลูกฟตุบอลขึ้นกับความดัน แต่ไอน์สไตร์บอกว่า ขนาดลูกฟตุบอลขึ้นกับความเร็วด้วย นั่นก็คือถ้าลูกฟตุบอลลูกนั้นพุ่งด้วยความเร็วสูงมากๆ มันจะมีขนาดที่เล็กลง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพบอกว่าระยะทางยืดหดได้เหมือนยางยืด นั่นก็คือยิ่งเร็วยางยืดก็จะหดสั้นลง และถ้าเร็วเท่าแสงยางยืดนี้จะหายไปทันที ซึงในครั้งแรกที่ไอน์สไตน์เสนอทฤษฎีนี้ มีแต่คนบอกว่า เขาสติฟั่นเฟือนไปแล้ว เมื่อมาถึงปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จึงศรัทธาไอน์สไตน์ราวกับพระเจ้า ในตอนแรกคิดว่านิวตันเข้าใจพระเจ้าที่สุดแล้ว แต่ไอน์สไตน์ที่รู้สึกถึงความลับของพระเจ้ามากกว่านิวตัน
ชนิดที่เรียกว่าเป็นภาพยนตร์คนละเรื่องเลย 
ดั้งนั้น สภาวะนิพพาน หรือบรรลุอรหันต์มีอยู่จริง แต่การจะอธิบายสภาวะนั้นให้ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงสามารถเข้าใจ ทำไม่ได้เลย ต้องหยั่งรู้ด้วยภาวนาปัญาญาณเท่านั้น และพระพุทธองค์ทรงสอนว่า อย่าพยายามคิด เพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านจนถึงขนาดเสียสติได้ การคิดก็คือการพูคภายในสมอง ภาษา หลักตรรกะหรือการคำนวณทางคณิตศาสตร์เป็นเพียงสมมติบัญญัติ ไม่สามารถนำมาอธิบายความจริงแท้ ดังนั้นสภาวะนี้
คนรู้จริงจะไม่พูด เพราะรู้ว่าถึงพูดไปก็อธิบายให้เข้าใจไม่ได้ส่วนคนที่พูด ไม่รู้จริง
กายเนื้อของเรา ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่จะรับผัสสะต่างๆ ที่เป็นเนื้อๆ เหมือนกันในมิติที่ 3 ส่วนผัสสะที่ละเอียดลึกกว่านั้น เครื่องมือนี้ไม่อาจจะรับได้ นอกนอกจิต จิต คนที่เห็นจิตโดยแท้จริงเท่านั้น จึงจะรู้ถึง
สิ่งที่จิตสัมผัสได้ นอกเหนือจากประสาทสัมผัสทางทวาร 6 ได้ จะหลุดพ้นจากมิติที่ 3 
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ล้วนเป็นประสาทสัมผัสที่ตกอยู้ภายใต้อิทธิพลของเวลา ดังนั้น การจะเข้าใจมิติที่สูงกว่ามิติที่ 4 จะต้องใช้อายตนะที่ 6 คือใจหรือจิต ในการศึกษาจะทำให้เข้าใจเรื่องมิติที่ 5 หรือสูงกว่านั้นได้ จิตเท่านั้นที่สามารถรับภาพจากมิติอื่นได้

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

บทที่ ๓ มิติ

๓ มิติ

มนุษย์ในสมัยนั้นที่ยังเชื่อว่าโลกแบน กำหนดให้โลกฝั่งเอเชีย
ซึ่งเห็นดวงอาทิตย์ยามเช้าก่อน เป็นโลกตะวันออก และฝั่งยุโรปซึ่งเห็นดวงอาทิตย์ทีหลังเป็นโลกตะวันตก และกลายเป็นคำเรียกอย่างถาวรมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะรู้ว่าความจริงแล้ว จะกำหนดให้ฝั่งอเมริกาเป็นโลกตะวันออก แล้วฝั่งเอเชียเป็นโลกตะวันตกก็ได้ เพราะโลกเป็นทรงกลมและหมุนอยู่ตลอดเวลา

ความเข้าใจในมิติทำให้มุมมองที่มีต่อโลกและจักรวาลเปลี่ยนไป สิ่งที่อยู่ในมิติที่ 2 
จะไม่สามารถเห็นมิติที่ 3 ได้ มดที่เดินอยู่ด้านบนของแผ่นกระดาษ กับด้านล่างของแผ่นกระดาษ
มันจะไม่รู็ว่ามี 2 มิติคู่ขนานกันอยู่ มนุษย์ที่กำลังอยู่ในโลก 3 มิติ ก็จะไม่รู็ว่า ขณะนี้มี 3 มิติอื่นที่กำลังคู่ขนานไปกับมิติของเราอยู่ นอกจากจะมีมิติที่ 3 คู่ขนานแล้ว ยังมีสิ่งที่มีจิตวิญาญาณอาศัยอยู่ในมิติที่สูงกว่าเราอีกมากมาย ซึ่งแบ่งออกเป็น ชั้นเทวดา 6ชั้น รูปพรหม 16 ชั้น
และอรูปพรหม 4ชั้น สิ่งที่มีชีวิตในบางชั้นก็อยู่ซ้อนทับกันระหว่างมิติ เช่น มนุษย์กับเดรัจฉานอยู่ร่วมกันในมิติที่ 2 และ 3 เทวดาอยู่ร่วมกันในมิติที่ 4 และ 5 เพียงแต่สวรรค์ชั้นที่สูงกว่าจะเข้าถึง
มิติที่ 5 ได้มากกว่า เช่นเดียวกับมนุษย์ที่เข้าถึงและเข้าใจมิติที่ 3 ได้มากกว่าเดรัจฉาน ชั้นรูปพรหมอยู่ในมิติที่ 6 และ 7 ส่วนชั้นอรูปพรหม ขึ้นไปถึงมิติที่ 8 และ 9 มิติที่สู
งกว่าจะมองเห็นมิติที่ต่ำกว่า เช่น มนุษย์มองเห็นมิติของมดซ้อนทับกัน การที่จะเห็นมิติที่ 3 ซ้อนทับก็ต้องมองลงมาจากมิติที่ 4 และจินตนาการทำได้ยากมาก เช่นเราชื้อเต๊นท์ที่ซึ่งพับแบบ 2 มิติมาเราจะไม่มีทางจินตนาการออกเลยว่า เต๊นท์นั้นถ้ากางออกมาเป็น 3 มิติจะมีรูปร่างเช่นไร
เช่นเดียว กับที่ปัจจุบันเราจินตนาการโครงสร้างของจักรวาลแบบ 4 มิติ ไม่ออกมองไม่ออกว่า
ถ้าคลี่จักรวาลแบบ 3 มิติ ออกมาจะมีรูปร่างเป็นแบบใดในมิติที่ 4 แต่ที่แน่ๆ คือ เรารู้ว่ามิติที่ 4 เวลาไม่มีอยู่จริง แลระยะทางใกล้ ไกล ไม่มีอยู่จริง ตามที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพได้พิสูจน์ไว้
ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า เวลาเกิดจากจิตที่เกิดดับเป็นสายใครที่สามารถกำหนดสติจนเข้าสู่ชั่วเวลาขณะจิตได้ จะพบกับความลับในเรื่องนี้ และรู้ว่าเหตุกาณ์ต่างๆ ในโลก 3 มิติก็เหมือนกับภาพนิ่งที่เรียงซ้อนต่อๆกันแล้วมีจิตขึ้นมารับอารมณ์ จิตที่เกิดดับเป็นสายอย่างต่อเนื่องต่อให้หลงเข้าใจผิดไปว่ามีเวลา เกิดอดีตอนาคต




วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

๒.๑ จิตกับควอนตัม

๒.๑ จิตกับควอนตัม

ฟิสิกส์ควอนตัม ศึกษาแยกย่อยอนุภาคเล็กลงไปเรื่อยๆ จนพบองค์ประกอบที่สำคัญ

เช่นเดียวกับอภิธรรมก็คือควอนตัมทางจิตพระพุทธองค์ทรงแยกย่อยมนุษย์
ลงไปในระดับดวงจิต เจตสิก และพลังที่เหนี่ยวนำทั้งหมดในระดับจิต ซึ่งเกิดดับอย่างระเอียด
ในระดับล้านๆ ของวินาที จะต่างกันก็แต่ควอนตันใช้กล้องจุลทรรศน์ขยาย แต่ พระพุทธองค์ใช้
กำลังสติขยาย โรเจอร์ เพนโรส (Roger Penrose) อาจาย์ของสตีเฟน ฮอร์กิ้ง
กล่าวว่า  จิตวิญญาณมีความสัมพันธ์กับควอนตัม และอาจช่วยอธิบายเรื่องชาติภพก็ได้
เมื่อคนตายไป ก็ยังมีจิตวิญญาณเชิงควอนตัมที่ยังคงอยู่ และถ่ายทอดไปในภพหน้าต่อไป
ในเรื่องนี้ วูลฟ์แก๊ง เพาลี (Wolfgang Pauli) นักฟิสิกส์รางวัลโนเบลผู้ยิ่งใหญ่ ได้ทำการศึกษา
หาความสัมพันธ์ระหว่างปรากฎการณ์ควอนตันกับปรากฏการณ์ทางจิต โดยร่วมกับคาร์ล
จุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาชั้นนำของโลก สร้างทฤษฎีจิตควอนตัม เพาลี-จุง (Pauli Jung) ซึ่งบอกว่า จิตเป็นตัวแปรสำคัญที่มีอิทธิพลต่อปรากฎการณ์ทางธรรมชาติทั้งปวง
นีลส์ บอห์ร ได้บอกไว้อย่างมั่นใจว่า ปรากฎการณ์ทั้งหมดทางธรรมชาติ เกิดมาจากจิตมนุษย์ไปรับรู้หรือสัมผัสมันเข้าเท่านั้น เขามั่นใจขัดแย้งกับไอน์ไตน์ อย่างรุนแรง ซึ่งไอน์สไตน์ ตอนแรกก็ไม่เชื่อเช่นนั้น  นักฟิสิกส์สายใหม่สายควอนตันเกือบทุกคนจะสนใจศึกษาในเรื่องจิต ไบร โจเซฟสัน (Brian Josephson) นักฟิสิกส์ รางวัลโนเบล ได้กล่าวว่า ถ้านักวิทยาศาสตร์เห็นว่า
เรื่องของจิตไม่มีอยู่จริง กลศาสตร์ควอนตัมจะเข้ามาช่วยอธิบาย ปรากฎการณ์ทางจิตในระดับอภิญญา เช่นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็น สมาธิผ่องแผ้ว...ย่อมโน้มน้อมจิตเพื่อแสดงฤทธิ์ คือ แยกคนเดียวเป็นหลายคนได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝา ทะลุกำแพง ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงดินเหมือนในน้ำได้ เดินบนน้ำ เหาะไปในอากาศก็ได้ ปันจุบันนักฟิสิกส์ควอนตัมรู้แล้วว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง
ในทางพุทธศาสนา บอกว่าข้อมูลทั้งหมดของชาติก่อน จะเก็บอยู่ในส่วนของนามขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และ การระลึกชาติได้ คือ การกำหนดสตเข้าไปดูรายละเอียดในนามขันธ์เหล่านี้ ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ...ย่อมตามระลึกชาติถึงอุปาทานขันธ์ ทั้ง 5 หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง ...คือ ย่อมตามระลึกถึง รูป.....เวทนา....สัญญา...สังขาร...วิญญาณ ดังนี้ว่าในอดีตกาลเราเป็นผู้มี รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อย่างนี้

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ ๒ ส้มพัทรภาพกับควอนตัม

๒ ส้มพัทรภาพกับควอนตัม

ทฤษฏีที่เป็นเสาหลักให้กับวิทยาศาสตร์ในปันจุบันคือทฤษฏส้มพัทธภาพ กับทฤษฏีควอนตัม ทฤษฏีแรกค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่ระดับจักรวาล ส่วนทฤษฏีหลังศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่เล็กที่สุดในจักรวาลคือระดับอะตอม และขยายมันเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งพบว่ายิ่งขยายลงลึก
จนขอบเขตของมันไม่ได้ แคบไปกว่าจักรวาลเลย ในทางควอนตัมคำนวณได้ว่า แม้ความยาวเพียง ๑ เซนติเมตร จะสามารถขยายออกไปได้ถึง ๑o เท่า (๑o = ๑ ล้าน) หรือขยายเป็นล้านๆๆๆ กิโลเมตร
๑ อะตอม สามารถขยายให้ถึงเท่าโลกได้เลยทีเดียว

เดิมนักวิทยาศาสตร์คิดว่า อะตอมน่าจะเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดในจักรวาลแล้ว เลยตั้งชื่อเรียกสิ่งที่เล็กที่สุดด้วยภาษากรีกว่า "อะตอม" ซึ่งแปลว่า "แบ่งแยกอีกไม่ได้ " แต่ปันจุบันเราพบอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมนับล้านๆ เท่า ศูนย์วิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป (CERN) กำลังศึกษาอะตอมในระดับกำลังขยาย ๑o เท่า และได้พบกับความมหัศจรรย์มากมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความว่างเหล่านั้น มันดูเหมือนเป็นอีกมิติหนึ่งที่ไม่
เหมือนกับที่เคยสัมผัสมาในโลก ๓ มิติเลย ทฤษฏีสัมพัทธภาพใช้พิสูจน์ความใหญ่โตของจักรวาลที่ยังไม่รู้ว่าขอบเขตของมันอยู่ที่ไหน ส่วนทฤษฏีควอนตัมใช้พิสูจน์ภายในของอะตอมซึ่งไม่รู้เช่นกันว่ามันจะขยายออกได้โดยไม่มีวันสิ้นสุดหรือไม่ หรือว่ามันจะสามารถขยายจนใหญ่ได้เท่ากับจักรวาล เพราะกำหนิดจักรวาลก็กำหนิดด้วยอนุภาคขนาดที่เล็กกว่าอะตอมระเบิดขึ้นมา ดังนั้น การจะเข้าใจจักรวาลอย่างสมบูรณ์แบบ จำเป็นต้องรวมทฤษฏีควอนตัมเข้ากับทฤษฏีสัมพัทธภาพให้ได้
เรารู้แล้วว่า สุดยอดของทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ในปันจุบัน คือ สัมพัทธภาพกับควอนตัน
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ความจริงที่สัมพัทธภาพค้นพบ กับความจริงที่ควอนตัมค้นพบไม่ตรงกัน ทั้งๆ ที่อยูในจักรวาลเดียวกัน ทฤษฏีสัมพัทธภาพใช้ไม่ได้กับปรากฎการณ์ในระดับที่เล็กกว่าอะตอม
ในขณะที่ทฤษฎีควอนตัมก็ใช้อธิบายปรากฎการณ์ระดับจักรวาลไม่ได้เหมือนกันทฤษฎีของไอน์สไตน์ใช้ได้เฉพาะในจักรวาลปันจุบัน เท่านั้น แต่จักรวาลตอนแรกเริ่มที่มีขนาดเล็กมากๆ กลับใช้ไม่ได้ เพราะจักรวาลเริ่มต้มมาจากจุดที่เล็กกว่าขนาดเล็กกว่าขนาดอะตอมเสียอีก ทำให้ในขณะนั้นทฤษฎีควอนตัม
สามารถอธิบายได้ชัดเจนกว่า แต่เมื่อจักรวาลขยายใหญ่ขึ้นทฤษฎีควอนตัมกลับใช่ไม่ได้
ปัญหาก็คือ จักรวาลในระดับหลุมดำ ที่มีทั้งความโน้มถ่วงที่สูงมาก กับขนาดที่เล็กมาก หลุมดำบางหลุม
มีขนาดเพียงเท่าอะตอมดังนั้น การจะอธิบายปรากฎการณ์ภายในหลุมดำ ต้องใช้ทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพ
และทฤษฎีควอนตัมร่วมกัน เมื่อสองทฤษฎีนี้รวมกันเมื่อไร ก็จะเข้าใจถึงหลุมดำอย่างแท้



วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

๑.๔ จักรวาลกำลังผองตัว

๑.๔ จักรวาลกำลังผองตัว

แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจักรวาลมีความคงที่ แต่เมื่อส่องกล้องไปในจักรวาลกลับพบว่าแสง
ที่ส่องมาจากดาราจักรอื่นๆ มีสีค่อนไปทางสีส้มหรือแดง
เปรียบเทียบคลื่นแสงกับเสียง เสียงที่มีความถี่ต่ำเสียงนั้นจะทุ้ม ส่วนเสียงที่มีความถี่สูงหูจะแปลผล
เป็นเสียงแหลม แต่สำหรับแสงตาจะแปลแสงที่ความถี่ต่ำเป็นสีแดง และความถี่สูงเป็นสีม่วง
(หรือเรียงตามลำดับจากถี่สูงสุดคือ ม่วง น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม และแดงความถี่ต่ำสุด)
 ดังนั้น ความถี่ที่ต่างกันของคลื่นแสงจะทำให้เราเห็นเป็นสีที่ต่างกัน
สมมติว่าคลื่นแสงเป็นคลื่นทะเล ขณะที่เราขี่สกู๊ตเตอร์พุ่งเข้าหาคลื่น เราจะกระแทกจำนวนลูกคลื่น
ด้วยความถี่สูงขึ้น เช่นเดียวกับแสงถ้าบนพื้นโลกเปิดสปอตไลต์สีเหลืองไว้ แล้วเราดิ่งพสุธา
จากเครื่องบินลงมา ตาเราจะกระแทกคลื่นแสงด้วยความถี่สูงขึ้น ตาเราจะเห็นแสงนั้น
ค่อนไปทางสีน้ำเงิน (ทั้งๆ ที่แหล่งกำหนิดแสงเป็นสีเหลือง) และในทางตรงกันข้าม ถ้าเรานั่งจรวดพุ่งขึ้นจากพื้น (หนีสปอตไลต์หรือแหล่งกำหนิดแสง) เมื่อมองย้อนกลับลงมาเราจะเห็นแสงที่พื้นเป็นสีส้ม
เพราะจำนวนลูกคลื่นที่กระทบตาเราลดลง (เหมือนการขี่สกู๊ตเตอร์หนีคลื่น)
สรุปคือ ถ้าแหล่งกำหนิดแสงห่างไปเรื่อยๆ เราจะเห็นเป็นสีแดง หรือสีส้ม
และถ้าแหล่งกำหนิดแสงวิ่งเข้าหาเราเรื่อยๆ จะเห็นไปทาง สีน้ำเงิน นั่นเพราะตาเราแปลงความถี่
แสงเป็นสี เหมือนหูที่แปลงความถี่เสียงเป็นทุ้มแหลม (ถ้าเปรียบเช่นนั้น แสงทุ้มก็คือแสงสีส้ม แดง และ-
แสงแหลมก็คือแสงสีม่วง น้ำเงิน)
ดั้งนั้น การที่เราส่องกล้องไปในจักรวาลแล้วเห็นดวงดาวต่างๆ มีแสงไปทางสีส้มแดง ไม่มีสีน้ำเงินเลย
แสดงว่าดวงดาวเหล่านั้นกำลังวิ่งหนี เราไปเรื่อยๆ แปลว่าได้ว่าจักรวาลกำลังขยายตัวออกนั้นเอง
ความถี่แสงเกี่ยวข้องกับพลังงานด้วย แสงที่มีความถี่สูงจะมีพลังงานสูงชึ่งเรามองเห็นเป็นสีน้ำเงิน
ส่วนแสงที่ความถี่ต่ำ เช่นสีแดงจะมีพลังงานต่ำ ช่างเชื่อมเหล็กจะรู้ดี เขาจะใช้แสงสีน้ำเงินในการ
เชื่อม หรือถ้ามองไปที่เตาแก๊ส เราจะเห็นสีน้ำเงินอยู่ที่โคนเตา
เปลวไฟสีแดงอยู่ที่ปลาย บริเวณสีแดงดูเหมือนจะร้อนแรงแต่เมื่อต้มน้ำจะเดือดช้ามาก โดยธรรมชาติ
มนุษย์มักจะคิดว่า เปลวไฟสีแดงมีความร้อนแรงมากกว่าสีน้ำเงิน ความจริงแล้วตรงกันข้าม
แสงสีแดงมีระดับพลังงานต่ำสุด ดั้งนั้น เราจึงเห็นคนย่ำลงไปบนถ่านแดงๆ ที่กำลังลุกได้ราวปาฎิหาริย์

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๑.๓ ขอบจักรวาล

๑.๓ ขอบจักรวาล

นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ขอบจักรวาลมี 2 ชั้น ชั้นในกำลังขยายออกด้วยความเร็วแสง ซึ่ง ณ ชั้นนี้เปรียบเสมือนกรอบด้านในที่คอยกันไม่ให้มวลสารและคลื่นทุกชนิดหลุดออกไป ถ้า เทียบความโน้มถ่วง
และแสงเป็นน้ำในตู้ปลา ตู้ปลานี้จะมีกระจก 2 ชั้น กรอบในของจักรวาลก็เหมือนกับกระจกชั้นในที่กันทุกอย่างไว้ แม้ว่าเราจะสร้างยานอวกาศ ทำความเร็วได้ใกล้แสง เมื่อวิ่งถึงขอบเขตนี้ทุกอย่างจะหยุดลง
ส่วนขอบเขตชั้นนอก อยู่ห่างจากขอบชั้นในหลายล้านปีแสงขอบเขตนี้ขยายตัวด้วยความเร็วสูงกว่าแสง
และเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมความเร็วในการขยาย
ตัวของจักรวาลจึงสูงขึ้นๆ ราวกับว่านอกจักรวาลมีแรงดึงดูดมหาศาลคอยดึงออก
เพราะถ้าจักรวาลเกิดจากบิ๊งแบง แรงส่งจากระเบิดน่าจะ ลดน้อยลงเรื่อยๆ การที่ขอบในของจักรวาล
ขยายตัวด้วยความเร็วแสง ทำให้พลังงานทั้งหมด ในจักรวาลนี้ เช่น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียรืไม่สามารถหลุดรอดออกไปนอกจักรวาลได้ และเช่นเดียวกันขอบของจักรวาลอื่นก็จะต้อง
มีลักษณะเดียวกัน ทำให้ฟองของจักรวาลที่มีจำนวนนับอนันต์ แต่ไม่มีการรบกวนหรือกระทบกระทั่งกันเลย และการที่ขอบจักรวาลมี 2 ชั้น ก็เหมือนกระจกเครื่องบิน ที่เป็นเสมือนระบบรักษาความปลอดภัย
ชั้นยอด การที่ขอบนอกขยายด้วยความเร็วสูงกว่าแสง ทำหน้าที่เป็นเหมือนกันชนซับแรง ในกรณีที่มีอะไรนอกจักรวาลมากระแทก นอกจากนั้นยังกั้นแสงจากจักรวาลอื่นไม่ให้เข้ามาด้วย (ในแต่ละจักรวาลความเร็วแสงไม่เท่ากัน) จากการคำนวณพบว่า แม้เอามวลของดาวทั้งหมดในจักรวาลมารวมกัน มวลนั้นสามารถสร้างความโน้มถ่วงได้เพียงแค่ 1% ของที่จักรวาลควรจะมี และถ้ามีเพียงเท่านี้ ไม่มีทางที่จะโน้มกาล-อวกาศให้เกิดเป็นดาราจักรต่างๆ ได้ แล้วมวลอีก 99% หายไปไหน นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ยังมีสสารมืด มองไม่เห็นในจักรวาลอีกมากมายและภายในสสารมืดอาจจะไม่มีสสารจริงๆ เลยก็ได้ เป็นเพียงพลังงานความโน้มถ่วงที่สูงมาก ซึ่งค้านกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า แรงโน้มถ่วงเกิดจากมวล มีการ
สันนิษฐานว่า แรงโน้มถ่วงจากสสารมืด อาจมาจากมิติอื่นใดจักรวาล
ภายนอกจักรวาลเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ สตีเฟน ฮอร์กิ้ง นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะบอกว่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ด้วยสมองมนุษย์ นอกจักรวาล ไม่มีแสง ไม่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่มีแรงโน้มถ่วง ไม่มีมวลใดๆ ดังนั้น จึงไม่มีเวลา ไม่มีพื้นที่ การพยายามจินตนาการว่า การขยายตัวของจักรวาลเหมือนลูกโป่งขยายตัวอยู่ ในห้องจึงไม่ถูกต้อง เพราะอากาศในห้องก็เหมือนอากาศภายในลูกโป่ง ถ้าเปรียบเทียบว่าลูกโป่งกำลังขยายตัวอยู่ในน้ำ จะเข้าใจกว่าว่าสถานะภายนอก จักรวาลเป็นคนละเรื่องกับภายในจักรวาลที่เราได้เห็น ได้สัมผัสเลย

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๑.๒ กำหนดธาตุ

๑.๒

กำหนดธาตุ

ภายหลังจากการที่เกิดการระเบิดขึ้นมา ทุกสรรพสิ่งก็มีแนวโน้มจะไปสู่ความยุ่งเหยิงเพิ่มขึ้น
ความสับสนอลหม่านของเหล่า โปรตอน อิเล็กตรอนทั้งหลายก็กระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง
การพองตัวของจักรวาล ทำให้อุณหภูมิลดลง เมื่อเย็นลงมากขึ้น อิเล็กตรอนที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย
ก็เริ่มเข้ามาหมุนวนรอบๆ โปรตอน ก่อเกิดเป็นธาตุตัวแรก คือไฮโดรเจนในประมานนาทีที่ 3 หลัง
จากบิ้งแบง หลังจากนั้น ความโน้มถ่วงก็เหนี่ยวนำให้ธาตุไฮโดรเจน รวมกลุ่มกันเป็นดวงดาว ในดวงดาว
ที่ใหญ่ไฮโดรเจนจะถูกอัดให้รวมกันเป็นฮีเลียม ที่เราเรียกว่าปฏิกิริยาฟิวชั่น ซึ่งจะปล่อยพลังงานออกมา
อย่างมหาศาล เราเรียกดาวเหล่านั้นว่า ดาวฤกษ์ เพราะมีแสงในตัวเอง มวลสารที่สำคัญมาก และถือว่าเป็นอนุภาคพื้นฐานในการสร้างธาตุต่างๆ คือ โปรตอนและธาตุไฮโดรเจน ชึ่งมีโปรตอนเพียงหนึ่งตัว
จึงถือว่าเป็นธาตุแรกในจักรวาล (หรือจะบอกว่าไฮโดรเจนคือโปรตอนที่มีอิเล็กตรอนหมุนรอบก้ไม่ผิด)
ปัจจุบัน ไฮโดรเจนยังเป็นธาตุ ที่มีมากที่สุด ทุกๆ ดาราจักรจะมีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ
ประมาน ร้อยละ 75 และฮีเลียมร้อยละ 20 ที่เหลือก็เป็นธาตุอื่นๆ
เราถือว่าโชดดีมาก ที่เกิดมาบนโลก ซึ่งมีธาตุต่างๆ มากมายจนสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้
เมื่อไฮโดรเจนมารวมตัวกันก็กลายเป็นธาตุที่ใหญ่ขึ้น เช่นไฮโดรเจน 2 อะตอมมารวมตัว จะกลายเป็นฮีเลียม (ดังนั้นฮีเลียมจึงมี 2 โปรตรอน) ถ้าจำนวนโปรตรอนไม่เท่ากันธาตุนั้นจะต้องตั้งชื่อใหม่
 เช่น 6 โปรตรอนเรียกคาร์บอน 7 โปรตรอนเรียกไนโตรเจน 8 โปรตรอนเรียกออกซิเจน 79 โปรตรอน
เรียกทองคำ และ 80 โปรตรอนเรียกว่าปรอท แน่นอนว่า ถ้าเราสามารถดึงโปรตรอนออกจากธาตุปรอทเพียง 1 ตัว ปรอทนั้นก็จะแปลงร่างเป็นทองคำทันที
หรือจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆ ว่า โปรตรอนเป็นตัวต่อเลโก้พื้นฐานของจักรวาล ที่ใช้ในการสร้างธาตุชนิดต่างๆ โปรตรอนของธาตุทุกชนิดเหมือนกันทุกประการ เพียงแต่จำนวนในการต่อไม่เท่ากัน
โปรตรอนสามารถรวมตัวกันได้มากที่สุด 118 ตัว เราจึงรู้จักธาตุอยู่
เพียง 118 ชนิดเท่านั้น ปฎิกิริยาการรวมตัวของไฮโดรเจน กำลังเกิดขึ้นบนดวงอาทิตย์ ของเราตลอดเวลา ที่เรียกว่า ปฏิกิริยาฟิวชั่น ดวงอาทิตย์เป็นดาวก๊าซยักษ์ ประกอบด้วยก๊าซไฮโดรเจนถึง 72% ก๊าซไฮโดรเจนรวมตัวกันเป็นฮีเลียมจะปล่อยพลังงานออกมามหาศาลจนลุกเป็นลูกไฟดวงใหญ่



วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

๑.๑ กำเนิดจักรวาล

๑.๑ กำเนิดจักรวาล

จักรวาลกำเนิดจากจุดพลังงานเล็กๆ ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเพียงจุดเดียวการระเบิด

เปรี้ยงขึ้นมา เมื่อประมาน 14,000 ล้านปีก่อน และพลังงานนั้น ก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นมวลสาร
ตามสูตร E=ma2 หรือ พลังงาน(Energy) = มวลxความเร็วแสง
ตามทฤษฎีชูเปอร์สเติงบอกว่า ในครั้งเกิดบิ๊กแบงใหม่ๆ จักรวาลเปรียบเสมือนฟองลูกโป่งที่กำลัง
ขยายตัวออก มาอย่างรวดเร็ว ณ จุดนั้นฟองจักรวาลนี้มีความไม่เสถียรเป็นอย่างมาก เพราะมีถึง 11 มิติ
จักรวาลจึงแตกออกโดยแยกเป็น 2 ส่วน (เหมือนฟองสบู่ฟองใหญ่แบ่งตัวออกเป็นฟองเล็กๆ 2 ฟอง)
ดังนั้นจึงเป้นไปได้ว่า ในขณะนี้มีจักรวาล คู่ขนานอยู่คู่กับจักรวาลของเรา
นักวิทยาศาสตร์บางส่วนเชื่อว่า หลุมดำ อาจจะเป็นทางเปิดไปสู่จักรวาลอื่น และหลุมดำสามารถทำให้
กำเนิดจักรวาลใหม่ๆ ได้ เปรียบเสมือนลูกโป่งลูกเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาจากผิวลูกโป่งลูกเดิมและขยายใหญ่ขึ้น หลุมดำคือสะพานเชื่อม ระหว่างจักรวาล ที่เรียกว่า "สะพาน  ไอน์สไตน์ โรเซ่น" (Einstein-Rosen bridge) นักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกบอกว่า จักรวาลที่เราอยู่ อาจเกิดจากหลุมดำของจักรวาลอื่นที่ระเบิดออกมาก็ได้ จักรวาลเราเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจักรวาลแม่ที่ใหญ่กว่า
มักมีการเปรียบเทียบการขยายตัวของ จักวาลว่า เหมือนกับการพองตัวของลูกโป่ง ความจริงแล้ว
จักรวาลของเราอาจเป็นเพียงติ่งลูกโป่งลูกเล็กๆ ที่ผุดขึ้นมาจากผิวลูกโป่งลูกใหญ่ ที่เรียกว่า
อภิมหาจักรวาล ซึ่งในขณะที่อภิมหาจักรวาลขยายตัว จักรวาลของเราซึ่งเปรียบเสมือนติ่งลูกโป่ง
ก็จะขยายตัวไปด้วย ซึ่งสมมติฐานนี้จะช่วยตอบคำถามได้ว่า ทำไมการระเบิดบิ๊กแบง ได้ผ่านมาตั้งนานแล้ว ถ้าเปรียบมหาจักรวาลเป็นดั่งพวงองุ่น และจักรวาลของเราก็คือ
องุ่นลูกใดลูกหนึ่งบนพวงนั้น อภิมหาจักรวาลก้คือสวนองุ่นทั้งสวน
ที่ประกอบด้วยต้นองุ่นนับล้านๆ ต้นยิ่งไปกว่านั้น สวนองุ่นไม่ได้มีเพียงแห่งเดียว ยังมีอีกนับล้านๆ แห่ง




บทที่ ๑ จักรวาล

จักรวาล

สารคดีสุดยิ่งใหญ่ของโลก ในเรื่องของจักรวาล
และหลุมดำ ซึ่งทางบริษัท STG multimedia นำมา
ให้เสียงเป็นภาษาไทย ได้แสดงให้เห็นถึงความ
มหัศจรรย์ของจักรวาลเหลือจะคณา

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) กล่าวไว้ว่า จักรวาลเปรียบเสมือนปริศนาใหญ่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ซึ่งสามารถเข้าถึงได้เพียงบางส่วนจากการสังเกตและจินตนาการของคนเรา เขายังบอกอีกว่า
"สิ่งที่เข้าใจยากที่สุดสำหรับจักรวาลก็คือการ บอกว่าจักรวาลสามารถเข้าใจได้"
เมื่อมองเข้าไปในจักรวาล เราจะเห็นดวงดาว ทั้งหลาย พากันส่องแสงสกาวพร่างพราว เต็มไปหมด
ประกอบด้วย กลุ่มดาวอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เราเรียกว่า "ดาราจักร" (Galaxy) ขอบเขตที่เราส่องกล้องมองเห็น มีจำนวนอยู่ไม่น้อย กว่า 100,000 ล้านแห่ง และในแต่ละดาราจักรประกอบด้วยดวงดาว
รวมกันอยู่ ประมาณ100,000 ล้านถึง 1 ล้านล้านดวง โลกของเราลอยละล่องอยู่บริเวณขอบของดาราจักร
ที่ชื่อว่า "ทางช้างเผือก" ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 100,000 ปีแสง นั่นก็หมายความว่า ถ้านำยานที่แล่นด้วย
ความเร็ว 3,000 กิโลเมตรต่อวินาที พุ่งออกจากโลก ไปยังขอบดาราจักรทางช้างเผือก อีกฟากหนึ่ง
ต้องใช้เวลาวิ่งถึง 10 ล้านปี
นักวิทยาศาสตร์พบว่า จักรวาลที่เราส่องกล้องมองเห็นในปัจจุบัน มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับจักรวาล
ทั้งหมด แต่ความจริงแล้ว ขนาดนั้นเทียบได้เพียงกับขนาดเม็ดทราย
เม็ดหนึ่ง ในห้วงมหาสมุทรแห่งจักรวาล จากการคำนวณพบว่า แม้ภายในจักรวาลเราเพียงจักรวาลเดียว
ก็ยังมีมิติต่างๆ ช้อนทับกันอยู่อีกมากมาย ปัจจุบันมนุษย์รู้จักเพียงมิติที่ 4 และห้องปฎิบัติการ เซิร์น (CERN) กำลังค้นหามิติที่ 5 อย่างเอาจริงเอาจัง โดยมีสมมติฐานว่า มิตินี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยความถี่คลื่นแสงปกติ มนุษย์จึงมองไม่เห็น ซึ่งถ้าพบและขยายมิตินี้ออกมาให้เห็นได้ คงจะพบกับความมหัศจรรย์มากมาย เปรียบกับการเห็นลูกโป่งลอยเป็นจุดเล็กๆ อยู่บนท้องฟ้าไกลๆ
ถ้าขยายไม่พอเราจะเห็นลูกโป่งแค่ 1 มิติ แต่เมื่อมันลอยเข้ามาใกล้ขึ้น จะเห็นความกว้างยาวของลูกโป่ง
นั่นคือเห็นมิติที่ 2 และเมื่อลอยมาอยู่ตรงหน้า เราจะรู้ว่าภายลูกโป่งมีสภาพเป็น 3 มิติ หมายความว่า ถ้าขยายเพียงพอ เราจะเห็นมิติที่ 3 ที่ซ่อนอยู่ในลูกโป่ง ถ้าขยายต่อไปจนเห็นภายในอะตอมของลูกโป่ง เราก็จะเห็นมิติที่ 4 ซึ่งมีอิเล็กตรอนวิ่งว่อน อยู่ในนั้น การเห็นมิติที่เหนือขึ้นไปจะต้องขยายจากมิติที่ต่ำกว่า ดังนั้น การเข้าสู่มิติที่ 5 ต้องใช้กำลังขยายสูงที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา และ ไม่สามารถใช้แสงในการขยายเหมือนกล้องจุลทรรศน์ได้ เพราะมิตินี้ มองด้วยแสงไม่เห็น
จากทฤษฎีสตริง (String Theory) คำนวณได้ว่า จักรวาลมีถึง 11 มิติ ถ้ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในมิติที่ 7 8 9 เราจะมองไม่เห็นเขา ทฤษฎี นี้ยังบอกอีกว่า นอกจากจักรวาลเราแล้ว ยังมีจักรวาลอื่นๆ อีกมากมาย ถึง 10 แห่ง จักรวาลแต่ละแห่งจะมีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่แตกต่างกันไป
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จักรวาลไม่ได้มีเพียงจักรวาลเดียว ยังมีอีกถึงแสนโกฎิจักรวาล (อนันตัง  อะปะริมาณัง)