หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

๓ .๒ การท่องจักรวาล

๓ .๒  การท่องจักรวาล

นักวิทยาศาสตร์พยายามจะคิดยานอวกาศสำหรับท่องไปในจักรวาล โดยใช้เชื้อเพลิงที่มีอยู่บนโลก การท่องมิติที่ 4 ไม่สามารถใช้เชื้อเพลิงของมิติที่ 3 ได้ ดังนั้น ถ้ายังพัฒนาจรวดอย่างไรก็ไม่สามารถทะลุมิติ 4 ได้ การเดินทางด้วยอวกาศแบบนั้น ไแได้ไกลที่สุดก็แค่ดาวพลูโต
เปรียบดังเช่นมนุษย์ในยุค 2 มิติ ที่ใช้การพายเรือในการเคลื่อนที่ พลังงานจากการพายไม่สามารถท่องไปรอบโลกที่เป็นมิติ 3 ได้ แต่นักเดินเรือในยุคนั้นได้สร้างเรือสำเภาขึ้นมา 
ซึ่งใบเรือสามารถใช้แรงจากมิติที่ 3 (ความบิดเบี้ยวของอากาศ) ทำให้สามารถเดินเรือรอบโลกจนรู้ว่าโลกกลม เช่นเดียวกัน การจะท่องจักรวาลต้องใช้ความบิดเบี้ยวของอวกาศให้เป็นประโยชน์ ยานที่สร้างด้วหลักการนี้จะทะลุไปในมิติที่ 4 ได้
มนุษย์ในยุค 2 มิติไม่เข้าใจเรื่องผิวโลกโค้งฉันใด มนุษย์ในยุค  มิติก็ไม่เข้าใจเรื่องจักรวาลโค้งฉันนั้น ถ้าเข้าถึงมิติที่ 4 จะรู้ว่าจักรวาลโค้งเป็นอย่างไร และเรื่องเข้าสู่มิติที่ 5 จะเข้าใจความโค้งของกาลเวลา
หลังจากที่มนุษย์ใช้เรือสำเภามานับร้อยปี เมื่อเซอร์ไอแซค นิวตันคิดกฎของแรงได้
เข้าใจเรื่องความดันอากาศ ความดันน้ำ ทำให้สามารถคิดเรือที่ไม่ต้องใช้ความบิดเบี้ยวของอากาศในการเคลื่อนที่อีกต่อไป และยังสร้างเครื่องบินได้ด้วยเมื่อเข้าใจความบิดเบี้ยวของอากาศว่า อากาศที่บิดเบี้ยวน้อยกว่า (ใต้ปีก) จะมีความดันสูงกว่าเหนือปีก ทำให้ยกตัวเครื่องบินขึ้นได้ ก้าวแรกของมนุษย์ชาติในการบุกเบิกจักรวาล จะต้องเริ่มต้นจากการใช้ความบิดเบี้ยวของกาล-อวกาศ เป็นเครื่องมือเสียก่อน หลังจากนั้น เมื่อนักวิทยาศาสตร์อภิมหาอัจฉริยะแบบนิวตัน หรือไอน์สไตน์เกิดมาอีกครั้ง ก็จะต่อยอดสร้างยานอวกาศที่เทคโนโลยีสูงขึ้น เหมือนกับปัจจุบันที่เรามีเรือต่างๆ ที่ดีเยี่ยมกว่าเรือสำดภามากมาย
เราไม่มีทางเอาชนะแสงได้ แต่ดูเหมือนว่ามีทางที่จะเอาชนะแรงโน้มถ่วงได้ และแสงพ่ายแพ้
ต่อแรงโน้มถ่วง ดังนั้น ถ้าเราชนะแรงโน้มถ่วง นั่นหมายความว่า เราเอาชนะแสงได้ทางอ้อมนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นตามทฤษฎีพบว่า แรงโน้มถ่วงสามารถทะลุมิติได้ แต่แสงทะลุมิติไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเข้าใจความโน้มถ่วงมากพอ จะทำให้เข้าใจถึงเรื่องการทะลุไปมิติอื่นตามมา
เช่นเดียวกับเรือ การจะเดินทางไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ต้องรู็จักใช้คลื่น
ให้เป็นประโยชน์และต้องระวังคลื่นใหญ่ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อเรือได้ ยานอวกาศที่จะเดินทางไปในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ก็ต้องรู้จักการใช้คลื่นความโน้มถ่วงลูกใหญ่ๆ ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคลื่นที่เกิดจากหลุมดำ ถ้าเทียบกับเรือ ก็คือแอ่งน้ำวนนั้นเอง นอกจากนั้น ตัวเรือเอาขณะที่วิ่งไปก็จะทำให้เกิดคลื่นด้วย เช่นเดียวกับยานอวกาศขณะที่เคลื่อนที่จะทำให้เกิดคลื่นความโน้มถ่วง ซึ่งต้องนำมาคำนวณด้วย แต่ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ของโลกยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะตรวจวัดคลื่นความโน้มถ่วง ดังนั้น คงอีกนานมากเลยทีเดียวกว่ามนุษย์จะสามารถเดินทางไปทั่วดาราจักร แต่ก็มั่นใจได้ว่าในอนาคต ถ้ามนุษย์ไม่ทำสงครามกันเองจนเทคโนโลยีถดถอยเสียก่อน การจะสร้างยานท่องไปในห้วงแห่งกาลอวกาศ สามารถทำได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น มนุษย์จะเป็นอิสระต่อเวลาและระยะทาง
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องวิเคราะห์ก็คือ ร่างกายของมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถทนความเร่งจากแรงโน้มถ่วงที่มากกว่า 3G ได้ (3 เท่าของแรงโน้มถ่วงโลก) ดังนั้นถ้าประดิษฐ์ยานข้ามเวลา
 ข้ามระยะทางได้สำเร็จ มนุษย์อวกาศที่ขึ้นไปบนยานลำนั้น จะทนสภาพความโน้มถ่วง
ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลได้หรือไม่ และถ้าท่องไปในจักรวาล ก็จะต้องพบกับระลอกคลื่น
เป็นระยะๆ เหมือนเรือที่ออกท่องมหาสมุทร จะต่างกันก็แต่คลื่นทะเลทำให้ศูนย์การทรงตัว
ของมนุษย์เสีย จึงเกิดอาการเมาคลื่น แต่คลื่นความโน้มถ่วงจะส่งผลไปถึงเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ระบบเลือด ระบบประสาททั้งหมด ดังนั้น ต้องคำนึงถึงขีดจำกัดทางชีวภาพของมนุษย์ด้วย ยกเว้นจิต ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับขีดจำกัดนี้ เพราะจิตไม่มีเซลล์ ไม่มีมวลอาจเป็นไปได้ว่า
การข้ามมิติ ข้ามเวลาในอนาคตจะออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เรื่อง The Matrix หรือ inception ที่ใช้จิตและสติเดินทางไปแทน ดังนั้น ถ้าคิดจะกลับไปเปลี่ยนอดีคต้องใช้จิตเหนี่ยว
นำจิตเท่านั้น เราไม่สามารถเอาร่างกายไปทำอะไรมิตินั้นได้ เพราะกายไม่ได้ข้ามเวลาไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม คนที่จะทำเช่นนั้นได้ ต้องมีกำลังสติที่สูงมาก เพราะการถอดจิตโดยเจตสิกที่เรียกว่า สติ ไม่ติดตามไปจะอันตรายมาก อาจถึงขนาดกลับเข้ามาในร่างเดิมไม่ได้อีก
ยังไม่จบนะครับ
ติดตามอ่านต่อได้ในบนที่ 2 นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น