หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ต่อจาก ๓.๒

 ต่อจาก ๓.๒ 

ไม่แน่ว่าทุกวันนี้ อาจมีผู้คนในอนาคตย้อนเวลากลับมาแล้วก็ได้แต่มองไม่เห็นเนื่องจากไม่มีมวล หลายต่อหลายครั้งที่จินตนาการในถาพยนตร์ เป็นจริงในเวลาต่อมา เช่น ยานอวกาศในภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์สเมื่อ 30 ปี ก่อนมีประตูอัตโนมัติและคอมพิวเตอร์ที่เหลือเชื่อในสมัยนั้น แต่ทุกสิ่งเกิดขึ้นจริงในยานอวกาศปัจจุบัน ตราบใดที่ยังมีมวล จะไม่สามารถข้ามเวลาได้ เนื่องจากมวลเป็นขีดจำกัดของความเร็วแสงมิตินี้
เพราะมันสร้างมาจากความเร็วแสงที่ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ตามค่า C ในสูตร E=me2 ดังนั้น การข้ามเวลาต้องใช้สิ่งที่ไม่มีมวล หรือถ้าจะต้องมีก็คงน้อยที่สุด เช่น อนุภาคโฟตอน อิเล็กตรอน นิวตริโน ไอน์สไตร์พบว่า พลังงานทุกชนิดเปลี่ยนเป็นมวลได้ เช่น ก้อนหิน มีมวล 1 กิโลกรัมเท่ากัน ก้อนที่ร้อนจะหนักมากกว่าเล็กน้อย หรือก้อนหินที่กำลังเคลื่อนที่ จะมีพลังงานจลน์ (E k) ซึ่งไปทำให้มวลเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นวัตถุที่วิ่งเร็วขึ้นๆ จะหนักมากขึ้น จนในที่สุดเมื่อเร็วเท่าแสง จะหนักเป็นอนันต์ นั่นก็หมายความว่า มันจะวิ่งเร็วกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะใส่พลังงานเข้าไปอีกเท่าใดก็ตาม เพราะตามสูตร F=ma ถ้า M เป็นอนันต์ ค่า F ก็ต้องเป็นอนันต์ด้วย ถึงจะเกิดความเร่ง (A) ขึ้นได้ อาจมีคนสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น ทำไมขอบจักรวาลถึงสามารถพองตัวได้เร็วกว่าความเร็วแสง นั่นก็เพราะการพองตัวของจักรวาล อยู่ในระดับที่สูงกว่ามิติที่  3 และแสงมีหน้าที่เพียงการคุมสสารและเวลาในมิติที่ 3 เท่านั้น หรือสรุปง่ายๆ ว่าแสงเป็นใหญ่เฉพาะในมิติของมันเท่านั้นถ้าเทียบกระแสแสงเป็นกระแสน้ำ ก็เหมือนกับน้ำไม่ยอมให้อนุภาคใดๆ ที่อยู่ในตัวมัน ทำความเร็วสูงกว่ากระแสน้ำ แต่การขยายขนาดแม่น้ำ ซึ่งเปรียบเสมือนขนาดจักรวาล ด้วยความเร็วสูงกว่ากระแสน้ำ ก็ไม่เป็น เรื่องต้องห้าม
ถ้าเรามีไม้เมตรอยู่อันหนึ่ง ขณะที่คลื่นความโน้มถ่วงวิ่งผ่าน มันจะยืดหดไม้เมตรเป็นจังหวะ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พยายามจับคลื่นชนิดนี้ด้วยการทำท่อยาวถึง 4 กิโลเมตร   ที่มลรัฐหลุยเซียนา เมื่อมีคลื่นความโน้มถ่วงจากจักรวาลวิ่งผ่านโลก ท่อนี้จะมีความยาวเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันเราศึกษาจักรวาล โดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นเครื่องมือ สมัยแรกๆ จะใช้แสงเป็นหลัก
เมื่อมาในยุคหลัง ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าย่านความถี่อื่นส่องมองจักรวาล เช่น กล้องรังสีเอ็กซ์ รังสีแกมมา หรืออินฟราเรด พบว่า ภาพของจักรวาลแตกต่างจากที่มองเห็นด้วยแสงอย่างมากมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่นักวิทยาศาสตร์ใช้กล้องความ
โน้มถ่วงส่องดูจักรวาลจะพบว่า เป็นคนละเรื่องกับที่เห็นด้วย
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเลย นอกจากนั้นจะส่องเห็นมิติอื่นๆด้วย เพราะหลักฐานที่ชัดเจนแล้วว่า แรงโน้มถ่วงเป็นแรงเพียงชนิดเดียวที่สามารถทะลุเข้าไปมิติอื่น  ส่วนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั้งหมดจะอยู่ในกรอบของมิติเราเท่านั้นดังนั้น การถ่ายภาพเห็นผี เห็นปีศาจ จึงไม่ไช่ความจริง เพราะระบบการทำงานของกล้องจะเกี่ยวข้องกับแสง และแสงในมิตินี้ไม่สามารถสะท้อน
ไปยังมวลในมิติอื่นแล้วทำให้เกิดรูปขึ้นบนกล้องได้
แสงสามารถหลอกเราได้ตลอดเวลา เช่น ถ้าเรายืนห่างจากกระจก 2 เมตร จะเห็นตัวเราอยู่ลึกเข้าไปในกระจก 2 เมตรด้วย
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะกระจกหนาเพียงไม่กี่มิลลิเมตร เช่นเดียว
กับส่องกล้องดูจักรวาล  แสงที่มาอาจโค้งจากขอบจักรวาลอีกด้านหนึ่ง วิ่งเข้าหากล้องเราก็ได้ เปรียบเสมือนการส่องเห็นเทพี

สันติภาพ จากยอดตึกใบหยกในประเทศไทย แต่ในความรู้สึก
ของเราดูเหมือนแสงจะวิ่งเป็นเส้นตรงเสมอ จึงเข้าใจผิดว่าวัตถุหรือดวงดาวอยู่ ณ ตำแหน่งที่ส่องเห็น ความจริงแล้วมันโค้งมาแต่ไกล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น